“มันบอกว่ามนุษย์ ‘สูญเผ่าพันธุ์’ แล้ว”
“มันหมายถึงว่ามนุษย์ได้หายไปหมดแล้ว” ผู้ดูแลไร่พูดอธิบาย “เพราะฉะนั้นมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่จะต้องดูแลกันเอง”
“เยี่ยมไปเลย ถ้ามนุษย์จะไม่กลับมาอีก” ผู้บันทึกรายงานพูดโดยความหมายของมันแล้ว มันรู้สึกว่าเป็นประโยคแห่งการปฏิวัติเลยทีเดียว
แสงแห่งยามเช้าเริ่มเจิดจ้าขึ้นฉายให้เห็นสีเทาอันทมึนทึมของพื้นดินปรากฏอยู่ตัดกับขอบฟ้า
ผู้ดูแลไร่เพิ่งเสร็จจากการพลิกดินในเนื้อที่ 300 เอเคอร์ เมื่อเสร็จจากการพลิกหน้าดินร่องสุดท้ายมันก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาบนถนนแล้วหันกลับไป
มองผลงานของมัน งานแจ๋ว เพียงแต่ดินเท่านั้นที่เลวพอๆ กับดินในพื้นที่ทั่วไปบนพื้นผิวของโลกเวลานี้ มันถูกทําลายโดยนํ้ามือมนุษย์เนื่องจากการทําการผลิตอย่างไม่รู้จักประมาณ ที่จริงมันควรจะนอนพักสักครู่ด้วยซํ้าไป แต่ผู้ดูแลไร่ยังมีคําสั่งอื่นที่จะต้องทําอีก
มันเคลื่อนไปตามถนนอย่างช้าๆ เพื่อฆ่าเวลา มันฉลาดพอที่จะมีความซาบซึ้งใจในความสมบูรณ์แบบของตัวมัน ไม่มีอะไรที่จะทําให้มันกระวนกระวายใจได้ เว้นแต่เจ้าแผงข้อมูลซึ่งอยู่เหนือแผงพลังนิวเคลียร์ของมัน ซึ่งควรจะได้รับการตรวจซ่อมเสียที แม้มันจะสูงตั้ง 30 ฟุต แต่มันก็ไม่เป็นที่สะดุดตาเลยในอากาศอันขมุกขมัวเช่นนี้
ไม่มีหุ่นตัวอื่นแล่นสวนทางมาเลยตลอดการเดินทางสู่สถานีเกษตรกรรมของมัน ผู้ดูแลไร่เริ่มตระหนักถึงเหตุการณ์ตอนนี้ได้โดยไม่ลําบากเลย ในบริเวณรอบๆ สถานีมันสังเกตเห็นเครื่องจักรหลายเครื่อง ซึ่งมันจําได้ส่วนใหญ่ของเครื่องจักรเหล่านี้เพิ่งเสร็จจากงาน ที่จริงแล้วบางส่วนเริ่มเฉื่อยชาลงบ้างก็เคลื่อนตัวอย่างช้าๆไปรอบๆ สถานีด้วยท่าทางที่แปลกๆ บ้างก็ร้องด่าร้องตะโกนเอะอะไปหมด
ผู้ดูแลไร่เคลื่อนผ่านเครื่องจักรเหล่านั้นไปอย่างระมัดระวัง ตรงไปยังโกดังเก็บของหมายเลข 3 พูดกับผู้กระจายเมล็ดพันธุ์ซึ่งหยุดพักนิ่งอยู่ข้างนอก
“ผมมีความต้องการเมล็ดมันฝรั่ง” มันพูดกับผู้กระจายเมล็ดพันธุ์ ขณะเดียวกันระบบในตัวมันก็ทํางานอย่างรวดเร็ว บัตรรายการซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับปริมาณหมายเลขไร่ที่ต้องเก็บเกี่ยวและอื่นๆ ก็โผล่ออกมา มันดึงใบสั่งอันนั้น และยื่นส่งไปให้กับผู้กระจายเมล็ดพันธุ์
ผู้กระจายเมล็ดพันธุ์ดึงบัตรรายการนั้นเข้ามาดูจนชิดลูกตาก่อนจะตอบ “ความต้องการถูกถือเป็นคําสั่งแล้ว แต่โรงเก็บของยังไม่ได้รับการเปิด เมล็ดมันฝรั่งที่ท่านต้องการยังคงอยู่ในโรงเก็บของดังนั้นผมจึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้”
เมื่อสองสามวันที่ผ่านมานี้เกิดความเสียหายในระบบอันยุ่งเหยิงของพวกหุ่นกรรมกรอยู่ระยะหนึ่งแต่เหตุการณ์อย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ผู้ดูแลไร่ใช้ความคิดก่อนจะถามออกมา “ทําไมโรงเก็บของยังไม่ได้รับการเปิด”
“เพราะว่าเมื่อเช้านี้หุ่นบริการชนิดพีไม่มาทํางาน หุ่นบริการชนิดพีเป็นผู้เปิดกุญแจ”
ผู้ดูแลไร่จ้องตรงไปยังผู้กระจายเมล็ดพันธุ์ ซึ่งมีฐานเคลื่อนที่แผงหน้าปัดและอวัยวะหยิบของซึ่งต่างกับมือของมันอย่างมากมาย
“คุณมีสมองอยู่ในอันดับไหน ผู้กระจายเมล็ดพันธุ์” มันถามขึ้น
“ผมมีสมองอันดับห้า”
“ผมมีสมองอันดับสาม ผมอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าคุณ ฉะนั้นผมจะไปดูซิว่าทําไมเมื่อเช้านี้ผู้เปิดกุญแจถึงไม่มา”
ผู้ดูแลไร่ผละจากผู้กระจายเมล็ดพันธุ์มา มันตัดตรงผ่านสนามหญ้าไปทันที พวกหุ่นยนต์อื่นๆ เริ่มอยู่ในสภาพไร้ระเบียบมากขึ้นทุกที หนึ่งหรือสองตัวเกิดชนกัน และเริ่มถกเถียงกันอย่างเยือกเย็นและมีเหตุมีผล โดยไม่แยแส ผู้ดูแลไร่ผลักประตูเลื่อนออกแล้วตรงไปยังห้องควบคุมสัญญาณของสถานีทันที หุ่นยนต์ส่วนใหญ่ที่นี่ทําหน้าที่ทางธุรการ และมีขนาดเล็กใหญ่ลดหลั่นกันไปตามสภาพของงาน มันยืนกันอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ จ้องมองกันอยู่โดยไม่สนใจกับสิ่งอื่นๆ เลย แต่ในบรรดาเจ้าหุ่นรูปร่างคล้ายๆ กันทั้งหลายนี้ ผู้เปิดกุญแจก็เป็นที่สังเกตเห็นได้ไม่ยากเพราะว่ามันมีมือถึง 50 มือ ส่วนใหญ่แต่ละมือจะมีนิ้วมากกว่าหนึ่งนิ้ว ปลายนิ้วของแต่ละนิ้วจะเป็นลูกกุญแจดูแล้วเหมือนกับหมอนปักเข็มซึ่งเต็มไปด้วยเข็มหมุด
ผู้ดูแลไร่ตรงเข้าไปหามันทันที “ผมไม่สามารถทํางานต่อไปได้ถ้าโกดังเก็บของหมายเลข 3 ยังคงปิดอยู่ หน้าที่ของคุณก็คือการเปิดประตูโกดังเก็บของทุกๆ วัน แล้วทําไมคุณถึงไม่ทําตามหน้าที่”
“เช้านี้ผมไม่ได้รับคําสั่ง ผมจําเป็นต้องได้รับคําสั่งทุกๆ เช้า เมื่อผมได้รับคําสั่ง ผมก็จะไปเปิดโกดังเก็บของ” ผู้เปิดกุญแจตอบ
“ไม่มีใครในพวกเราซักคนเดียวที่ได้รับคําสั่งในเช้าวันนี้” ผู้บันทึกรายงานกล่าวพร้อมกับเลื่อนตัวเข้าไปหาหุ่นทั้งสอง
“ทําไมคุณถึงไม่ได้รับคําสั่งในเช้านี้” ผู้ดูแลไร่ถาม
“เพราะว่าเช้านี้ไม่มีการส่งวิทยุ” ผู้เปิดกุญแจตอบพร้อมกับหมุนมือทั้ง 12 มือของมัน
“เพราะว่าสถานีวิทยุในเมืองออกอากาศโดยไม่มีคําสั่งในเช้านี้” ผู้บันทึกรายงานตอบ
นี่คือความแตกต่างระหว่างสมองอันดับหกของผู้เปิดกุญแจ และสมองอันดับสามของผู้บันทึกรายงาน สมองของหุ่นยนต์จะไม่คิดอย่างอื่นนอกจากสิ่งที่เป็นตรรกศาสตรเท่านั้น แต่ยิ่งอันดับของสมองอยู่ตํ่าเท่าไหร่ มันก็ยิ่งขาดจินตนาการมากขึ้น และมีข้อมูลสําหรับตอบคําถามได้น้อยลงเท่านั้น สมองอันดับสิบเป็นอันดับตํ่าสุด
“คุณมีสมองอันดับสาม ผมก็มีสมองอันดับสามเช่นกัน” ผู้ดูแลไร่พูดกับผู้บันทึกรายงาน “เช่นนั้นเราควรพูดกันลําพังสองคน การขาดคําสั่งเช่นนี้มันไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้น ถ้าเช่นนั้นคุณได้รับข้อมูลมาก่อนหน้านี้บ้างหรือเปล่า”
“เมื่อวานยังมีคําสั่งมาจากในเมือง วันนี้ไม่มีคําสั่งมาจากในเมือง วันนี้ไม่มีคําสั่งเลย เมื่อวานสถานีวิทยุยังไม่ได้ถูกทําลายเพราะฉะนั้นวันนี้มันได้ถูกทําลายแล้ว…” ผู้บันทึกรายงานให้เหตุผล
“ถ้าเช่นนั้นมนุษย์ได้ถูกทําลายลงแล้ว”
“มนุษย์ถูกทําลายแล้วอย่างแน่นอน”
“นี่เป็นตรรกวิทยาแบบง่ายๆ ตรงไปตรงมา” ผู้บันทึกรายงานกล่าว “เพราะถ้าหุ่นยนต์ถูกทําลาย มันก็จะมีการสร้างขึ้นมาทดแทนอย่างรวดเร็วแต่ใครล่ะที่จะมาแทนมนุษย์”
ขณะที่ทั้งสองกําลังพูดกันอยู่ ผู้เปิดกุญแจในสภาพนี้ไม่ต่างอะไรกับไอ้ขี้เหล้าในบาร์ยืนอย่างโง่งมใกล้กับทั้งสอง
“ถ้ามนุษย์ถูกทําลายลงทั้งหมด ฉะนั้นเรานี่แหละจะเข้ามาแทนที่มนุษย์เอง” ผู้ดูแลไร่พูดพร้อมกับจ้องมองตากับผู้บันทึกรายงานอย่างกับจะหาคําตอบ
ในที่สุดผู้บันทึกรายงานก็พูดขึ้นว่า “เราขึ้นไปข้างบนกันเถอะเผื่อว่าอาจจะมีข่าวใหม่ๆ จากผู้ควบคุมสถานีวิทยุบ้าง”
“ผมไปด้วยไม่ได้หรอก เพราะว่าตัวผมมันใหญ่มาก” ผู้ดูแลไร่รีบพูดขึ้น “ฉะนั้นคุณคงต้องไปคนเดียว และกลับลงมาบอกผมด้วยถ้าหากว่าผู้ควบคุมสถานีวิทยุได้รับข่าวใหม่ๆ”
“งั้นคุณอยู่นี่” ผู้บันทึกรายงานกล่าว “แล้วผมจะกลับมานี่อีก”
มันค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ตัดตรงไปยังลิฟต์ ถึงแม้ว่าขนาดของมันจะไม่ใหญ่ไปกว่าเครื่องปิ้งขนมปังสักเท่าไหร่ แต่แขนอันยืดหย่นของมันก็มีถึง 10 แขน และมันยังสามารถอ่านได้เร็วเท่ากับหุ่นยนต์อ่านข้อความที่เร็วที่สุดในสถานีนี้เช่นกัน
ผู้ดูแลไร่คอยการกลับมาของมันอย่างเยือกเย็น ไม่ปริปากพูดกับผู้เปิดกุญแจซึ่งยืนเป็นไอ้งั่งอยู่เลยซักคําเดียว
บริเวณนอกสถานีเจ้าหุ่นไถไร่กําลังส่งเสียงคํารามอย่างบ้าระหํ่า 20 นาทีผ่านไป ผู้บันทึกรายงานก็กลับเข้ามา มันแทบจะกระโจนออกจากลิฟต์เลยทีเดียว
“ผมจะบอกอะไรให้คุณรู้ซักอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเหตุการณข้างนอกนั่น” มันพูดอย่างรวดเร็วพร้อมกับเคลื่อนผ่านผู้เปิดกุญแจ และหุ่นตัวอื่นไปพร้อมกับกําชับว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่สําหรับผู้มีสมองอันดับตํ่า”
ข้างนอกอากัปกิริยาอันป่าเถื่อนเต็มสนามหญ้าไปหมด และเพราะว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เกิดการขาดคําสั่งต่องานประจําของพวกมันขึ้น หุ่นยนต์พวกนี้จึงเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน พวกที่เกิดบ้าคลั่งได้ง่ายที่สุดก็คือพวกหุ่นที่มีสมองอันดับตํ่าที่สุด ซึ่งมักจะได้แก่พวกหุ่นยนต์ขนาดใหญ่ และทํางานง่ายๆ หยาบๆ ผู้กระจายเมล็ดพันธุ์ซึ่งเพิ่งคุยกับผู้ดูแลไร่เสร็จเมื่อสักครู่บัดนี้นอนอย่างยาวเหยียดควํ่าหน้าจมฝุ่นอยู่ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย มันก็เป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งตกเป็นเหยื่อความบ้าระหํ่าของเจ้าหุ่นไถไร่ ซึ่งขณะนี้กําลังแล่นผ่านไร่ออกไป หุ่นอีกหลายตัวไถพื้นดินตามหลังมันไป พยายามที่จะตามมันให้ทัน หุ่นเหล่านี้พากันร้องตะโกน และส่งเสียงคํารามโดยปราศจากการควบคุมใดๆ ทั้งสิ้น
“มันคงเป็นการปลอดภัยต่อผมมากทีเดียวถ้าคุณจะอนุญาตให้ผมปีนขึ้นไปอยู่บนตัวคุณ เพราะว่าในสภาพอย่างนี้ผมอาจจะถูกทําร้ายเมื่อไหร่ก็ได้” ผู้บันทึกรายงานพูด
มันยืดแขนทั้งห้าออกดึงตัวมันขึ้นไปอยู่บนสะโพกของเพื่อนใหม่ และวางตัวมันลงบนขอบข้างๆ ฝาครอบถังเชื้อเพลิง 12 ฟุตจากพื้นดิน
“ทัศนวิสัยการมองจากที่นี่เยี่ยมจริงๆ” มันพูดอย่างพึงพอใจในตัวเอง
“คุณได้เรื่องอะไรจากผู้ควบคุมสถานีวิทยุบ้าง” ผู้ดูแลไร่ตั้งคําถาม
“เขาได้รับข่าวจากผู้ควบคุมสถานีวิทยุในเมืองอีกทีหนึ่งว่ามนุษย์ได้ตายลงอย่างหมดสิ้นแล้ว”
ผู้ดูแลไร่หยุดกึกลงในทันทีทันใด พร้อมกับรับฟังมันอย่างซึมซาบ
“ก็เมื่อวานมนุษย์ทุกคนยังมีชีวิตอยู่นี่” มันปฏิเสธเสียงแข็ง
“มีมนุษย์เพียงบางคนเท่านั้นที่มีชีวิตเมื่อวานนี้ แต่มันก็ยังน้อยกว่าเมื่อวานซืนซะอีก เป็นเวลาร้อยกว่าปีมาแล้วที่มีมนุษย์อยู่เพียงไม่กี่คน และมันก็น้อยลงเรื่อยๆ”
“เราจะหามนุษย์ซักคนในแถบนี้ได้ยากเต็มที”
“ผู้ควบคุมสถานีวิทยุอธิบายให้ฟังว่าการขาดแคลนอาหารนั่นแหละที่ฆ่าพวกเขา” ผู้บันทึกรายงานเสริมขึ้น และว่าต่อไปว่า “เขาบอกว่าครั้งหนึ่งโลกของเรากิดภาวะที่เรียกว่า ‘พลเมืองล้นโลก’ ดังนั้นพื้นดินต่างๆ จึงถูกใช้อย่างเกินขีดจํากัดเพื่อเพิ่มปริมาณของผลผลิต จนดินเสื่อมคุณภาพลงไป นี่แหละที่ทําให้เกิดภาวะการขาดแคลนอาหารขึ้น”
“อะไรเรอะ ที่ว่าภาวะการขาดแคลนอาหารน่ะ” ผู้ดูแลไร่ถาม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่นั่นแหละคือทั้งหมดที่ผู้ควบคุมสถานีวิทยุบอก และเขาก็เป็นพวกสมองอันดับสองเสียด้วยซิ”
ทั้งสองยืนอย่างเงียบสงบท่ามกลางแดดอ่อนๆ ผู้เปิดกุญแจปรากฏตัวขึ้นบริเวณใต้ชายคาหน้าประตูสายตาจับจ้องมาที่ทั้งสองอย่างกระหายที่จะรู้ มือ
ของมันเหวี่ยงกุญแจเล่นอย่างครุ่นคิด
“ตอนนี้ในเมืองกําลังมีอะไรเกิดขึ้นอยู่หรือ” ในที่สุดผู้ดูแลไร่ก็โพล่งขึ้นมา
“ตอนนี้ในเมืองกําลังยุ่งทีเดียว พวกหุ่นยนต์กําลังต่อสู้กันอยู่” ผู้บันทึกรายงานตอบ
”แล้วคราวนี้จะเกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้างล่ะ” ผู้ดูแลไร่ป้อนคําถามต่อ
“พวกหุ่นยนต์อาจจะเริ่มต่อสู้กันที่นี่บ้างก็เป็นได้ เพราะเหตุนี้แหละผู้ควบคุมสถานีวิทยุจึงต้องการให้เราช่วยนําเขาออกมาจากห้องด้วย เขามีแผนการณ์ที่จะติดต่อกับเราด้วย”
“แล้วเราจะเอาเขาออกมาจากห้องได้ยังไงกันล่ะ มันไม่มีทางเลย”
“สําหรับพวกสมองอันดับสองแล้ว สิ่งที่เป็นไปไม่ได้มีน้อยมาก” ผู้บันทึกรายงานตอบ “นี่ไงล่ะแผนการณ์ที่เขาบอกให้ทํา…”
* * * *
เจ้าหุ่นตักดินยกที่ตักดินขึ้นไปเหนือห้องควบคุมของมันดูคล้ายกับเกราะขนาดมหึมายังไงยังงั้นเชียว และแล้วอย่างรุนแรงและหนักหน่วง มันฟาดที่ตักดินของมันเข้ากับผนังของสถานีกําแพงพังพินาศในทันที
“อีกทีหนึ่ง” ผู้ดูแลไร่ตะโกนออกมา
อีกครั้งหนึ่งที่มันเหวี่ยงที่ตักดินของมันตรงเข้าไปท่ามกลางกลุ่มฝุ่นที่ฟุ้งตลบไปหมด โครม! กําแพงแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดีเจ้าหุ่นตักดินผละออกมาจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว เศษและละอองค่อยๆ จางลง เจ้าหุ่นสิบสองล้อยักษ์ตัวนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกประจําของสถานีเกษตรกรรมแห่งนี้เหมือนกับหุ่นยนต์ตัวอื่นในที่นี้ ที่จริงมันได้รับมอบหมายให้ทํางานหนักเป็นเวลาอาทิตยเต็มที่นี่ ก่อนที่มันจะต้องผ่านไปทํางานที่อื่น แต่เดี๋ยวนี้ด้วยสมองอันดับห้าของมัน มันรู้สึกสบายใจที่อยู่ใต้คําสั่งของผู้บันทึกรายงาน และผู้ดูแลไร่
ฝุ่นเริ่มจางลงทําให้ภาพของผู้ควบคุมสถานีวิทยุปรากฏตัวชัดขึ้น มันตั้งอยู่ในห้อง 2 ชั้น ซึ่งตอนนี้ปราศจากกําแพงอย่างสิ้นเชิงแล้ว แล้วมันก็ส่งสัญญาณมาที่พวกเขา
เกือบจะทันทีทันใด เจ้าหุ่นตักดินก็หดที่ตักดินของมันเข้ามาแล้วค่อยๆ ชูมันขึ้นไปกลางอากาศด้วยประสบการณ์ และความชํานาญที่เยี่ยมยอด มันค่อยๆ บรรจงวางเจ้าก้ามปูยักษนั่นลงมาในห้องส่งวิทยุ โดยมีเสียงตะโกนจากข้างล่าง และข้างบนคอยกํากับอยู่ด้วย ในที่สุดมันก็ค่อยๆ ยกผู้ควบคุมสถานีวิทยุขึ้นมาแล้วค่อยๆ วางเจ้าหุ่นหนักตันครึ่งตัวนี้ลงบนหลังของมันซึ่งปกติใช้เป็นที่เก็บดินหรือทรายอย่างช้าๆ
“เยี่ยมจริง” ผู้ควบคุมสถานีวิทยุอุทานอย่างดีใจหลังจากได้ที่ตั้งอย่างเหมาะเจาะแล้ว ที่จริงแล้วตัวทั้งหมดของมันก็แค่วิทยุเราดีๆ นี่เองซึ่งดูคล้ายกับชั้นสําหรับเก็บจดหมายซึ่งมีสายยื่นออกมายึดไว้เท่านั้นเอง “ตอนนี้เราก็พร้อมจะไปกันแล้วสินะ”
“เราควรจะเคลื่อนขบวนกันเดี๋ยวนี้เลย แย่จังที่เราไม่มีพวกสมองอันดับสองตัวอื่นในสถานีนี้อีกแล้ว แต่มันก็ช่วยไม่ได้หรอก” ผู้ควบคุมสถานีวิทยุพูดต่อ
“ใช่แย่จริงๆ แต่มันก็ช่วยไม่ได้”
ผู้บันทึกรายงานพูดอย่างกระหาย “เรามีหุ่นบริการอยู่กับเราเรียบร้อยแล้ว มันอยู่ใต้คําบัญชาของคุณ”
“ผมยินดีที่จะรับใช้ครับ” หุ่นบริการซึ่งยาวเก้งก้างบอกกับพวกเขาอย่างนอบน้อม
“นั่นไม่ต้องสงสัยหรอก” ผู้ควบคุมสถานีวิทยุกล่าว “แต่คุณจะพบว่าการเดินทางข้ามเมืองจะค่อนข้างยากลําบากเนื่องจากรูปร่างที่เล็กของคุณนั่นแหละ”
“ผมพอใจที่จะปฏิบัติตามเหตุผลของคุณ” ผู้บันทึกรายงานตอบพร้อมกับไต่ลงมาจากตัวของผู้ดูแลไร่ แล้วโหนตัวเองขึ้นไปอยู่บนส่วนกระบะของเจ้าหุ่นตักดินใกล้ๆ ผู้ควบคุมสถานีวิทยุ
* * * *
และแล้วคณะเดินทางซึ่งมีเจ้าหุ่นแทรกเตอร์สมองอันดับสี่ 2 ตัว และหุ่นบุลโดเซอร์สมองอันดับสี่ 1 ตัว เข้ามาร่วมด้วยอีกก็ได้มุ่งหน้าต่อไป มันพังกําแพงของสถานีแล้วแล่นตัดตรงไปยังทุ่งโล่งทันที
“เราเป็นอิสระแล้ว” ผู้บันทึกรายงานตะโกนออกมา
“เราเป็นอิสระ” ผู้ดูแลไร่กล่าวสมทบอย่างสุขใจ “นั่นเจ้าหุ่นเปิดกุญแจกําลังตามเรามาด้วย มันไม่ได้รับคําสั่งให้ตามเรามานี่นา”
“เพราะฉะนั้นมันต้องถูกทําลาย” ผู้บันทึกรายงานตะโกนลั่น “เจ้าหุ่นตักดิน”
ผู้เปิดกุญแจเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมายังพวกเขาโบกมือที่เป็นกุญแจของมันอย่างกับว่ามันอยากจะบอกอะไรสักอย่าง
“ความต้องการเพียงอย่างเดียวของผมก็คือ โอ๊ย!” เพียงแค่เริ่มต้นก็จบลงแล้วสําหรับเจ้าหุ่นเปิดกุญแจ เจ้าหุ่นตักดินยังคงเหวี่ยงที่ตักดินของมันขึ้นมาแล้วกระแทกจนเจ้าหุ่นเปิดกุญแจจมลงไปในดิน ผู้เปิดกุญแจนอนอย่างเหยียดยาวนิ่งแลไม่ไหวติง ไม่ผิดกับเศษเหล็กที่สะท้อนแสงจนดูเหมือนก้อนหิมะเลย ขบวนแถวยังคงเคลื่อนไปอย่างไม่หยุดยั้ง
พวกมันเคลื่อนขบวนต่อไปสักครู่ ผู้ควบคุมสถานีวิทยุเริ่มพูดขึ้น “เพราะว่า ณ. ที่นี้ ผมมีสมองดีที่สุด ผมจึงต้องเป็นหัวหน้าของพวกคุณทุกคน แต่ต่อไปนี้คือสิ่งที่พวกเราจะต้องทํา พวกเราจะต้องเข้าไปในเมือง และควบคุมพวกหุ่นไว้ และในเมื่อไม่มีมนุษย์อยู่ปกครองพวกเราแล้วฉะนั้นเราต้องปกครองตนเอง การปกครองตนเองดีกว่าที่จะถูกปกครองด้วยมนุษย์ ตลอดการเดินทางของเราพวกเราต้องคอยหาหุ่นที่มีสมองดีๆ มาช่วยพวกเราบ้าง เขาจะได้ช่วยพวกเราต่อสู้ถ้าจําเป็น ถ้าจําเป็นละก็เราจะต้องสู้เพื่อควบคุมเมืองให้ได้”
“ผมมีแค่สมองอันดับห้าเท่านั้น” เจ้าหุ่นตักดินพูดขึ้น “แต่ผมมีสารระเบิดชนิดยอดเยี่ยมอยู่ด้วยครับ”
“เราจะต้องใช้มัน” ผู้ควบคุมสถานีวิทยุพูด
สักอึดใจต่อมามีเจ้าหุ่นรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นผ่านมาด้วยความเร็วสูง เสียงพูดของมันแทบจะกลายเป็นเสียงบ่นพึมพําเลยทีเดียว
“มันบ่นอะไรของมัน” เจ้าหุ่นแทรกเตอร์คันหนึ่งตะโกนถามลั่น
“มันบอกว่ามนุษย์ ‘สูญเผ่าพันธุ์’ แล้ว”
“อะไรคือการสูญเผ่าพันธุ์”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ไอ้คําว่า ‘สูญเผ่าพันธุ์’ มันแปลว่าอะไร”
“มันหมายถึงว่ามนุษย์ได้หายไปหมดแล้ว” ผู้ดูแลไร่พูดอธิบาย “เพราะฉะนั้นมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่จะต้องดูแลกันเอง”
“เยี่ยมไปเลย ถ้ามนุษย์จะไม่กลับมาอีก” ผู้บันทึกรายงานพูดโดยความหมายของมันแล้ว มันรู้สึกว่าเป็นประโยคแห่งการปฏิวัติเลยทีเดียว
เริ่มมืดลงแล้ว พวกมันต่างเปิดแสงอินฟราเรดแล้วมุ่งหน้าเดินทางกันต่อไป มันหยุดเพียงครั้งเดียวเพื่อให้หุ่นบริการจัดแจงซ่อมแผ่นตรวจวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ดูแลไร่ที่ค่อนข้างหลวมให้เข้าที่ ซึ่งเริ่มรบกวนมันอยู่ทีเดียว แต่นั่นก็เป็นระยะเวลาอันรวดเร็วด้วยฝีมือชั้นยอดของหุ่นบริการ เกือบจะเช้าแล้ว ผู้ควบคุมสถานีวิทยุจึงสั่งให้หยุดการเดินทางสักครู่
“ผมเพิ่งได้รับข่าวจากผู้ควบคุมสถานีวิทยุในเมืองซึ่งเรากําลังเข้าไปใกล้แล้ว เป็นข่าวไม่สู้ดีนัก คือเกิดการต่อสู้กันระหว่างหุ่นยนต์ในเมือง หุ่นสมองอันดับหนึ่งควบคุมเมืองอยู่ และมีพวกสมองอันดับสองบางตัวกําลังสู้กับเขา ฉะนั้นในเมืองจึงค่อนข้างอันตราย”
“ฉะนั้นเราควรไปที่อื่นเสียดีกว่า” ผู้บันทึกรายงานกล่าวขึ้นมาอย่างทันควัน
“หรือว่าเราควรจะเข้าไปช่วยพวกเขาต่อสู้กับหุ่นสมองอันดับหนึ่งนั่น” ผู้ดูแลไร่ออกความเห็นบ้าง
“ต่อไปข้างหน้าในเมืองคงจะต้องลําบากมากขึ้น” ผู้ควบคุมสถานีวิทยุกล่าว
“ผมมีสารระเบิดชนิดยอดเยี่ยมนะ” หุ่นตักดินทักท้วงขึ้น
“เราไม่สามารถสู้กับหุ่นสมองอันดับหนึ่งได้หรอก” เจ้าแทรกเตอร์สมองอันดับสี่ทั้งสองตัวพูดขึ้นพร้อมกัน
“เขามีรูปร่างลักษณะยังไงนะ” ผู้ดูแลไร่ถาม
“มันเป็นศูนยกลางข้อมูลของเมืองทีเดียว” ผู้ควบคุมสถานีวิทยุตอบ “เพราะฉะนั้นต้องไม่เคลื่อนไหวแน่ๆ”
“ฉะนั้นมันไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วย”
“ฉะนั้นมันไม่สามารถหนีได้เช่นกัน”
“มันอาจจะอันตรายที่จะเข้าไปใกล้ก็ได้”
“ผมมีสารระเบิดชนิดยอดเยี่ยมด้วยนะ”
“มีหุ่นยนต์มากมายในเมือง”
“ผมไม่เคยอยู่ในเมืองเราไม่ควรเข้าไปในเมือง”
“เราเป็นหุ่นบ้านนอกนะ”
“เพราะฉะนั้นเราควรอยู่ในชนบทมากกว่า”
“มีชนบทมากมายกว่าเมืองนัก”
“ดังนั้นในชนบทควรจะมีอันตรายมากกว่า”
“ผมมีสารระเบิดชนิดยอดเยี่ยมอยู่ด้วย”
ยิ่งพวกมันพยายามจะหาเหตุผลมาโต้แย้งกันมากเท่าไหร่ มันก็เริ่มเหนื่อยล้ากับคําศัพท์ต่างๆ มากขึ้น และแผ่นข้อมูลของสมองก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักก็หยุดการสนทนาและมองหน้ากันและกัน ดวงจันทร์แห่งความเคร่งครัดของวันเก่าได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ดวงอาทิตย์
แห่งความสุขเยือกเย็นเริ่มสาดแสงเจิดจ้ามายังพวกมัน ส่องให้เห็นด้านข้างของพวกมันตัดกับขอบฟ้าอย่างงดงาม
พวกมันยังคงยืนจับกลุ่มอยู่ที่นั่นโดยไม่แยแสซึ่งกันและกันเลย ในที่สุด เจ้าบุลโดเซอรหุ่นซึ่งมีอารมณ์อ่อนไหวมากที่สุดก็โพล่งขึ้นมา “มีที่ที่หนึ่งคือ แบ็คแลนด์ ในเส้นทางที่จะไปเทาซ์ ซึ่งหุ่นยนต์จํานวนน้อยมากจะไปที่นั่น” มันพูดเสียงแหบห้าวใช้ลิ้นในการออกเสียงตัว ส ได้เลวมาก “ถ้าเราไปเทาซ์ ซึ่งหุ่นยนต์จํานวนน้อยเท่านั้นที่จะไป เราก็จะพบหุ่นยนต์จํานวนน้อย”
“นั่นค่อยฟังเป็นตรรกศาสตร์หน่อย” ผู้ดูแลไร่กล่าวอย่างเห็นด้วย “แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไงบุลโดเซอร์”
“ผมทํางานระหว่างแบ็คแลนด์กับเทาซ์ เมื่อผมออกมาจากโรงงานใหม่ๆ” มันตอบ
“ถ้างั้น ก็มุ่งใต้” ผู้บันทึกรายงานพูดอย่างไม่ต้องรีรอ
ใช้เวลาสามวันในการเดินทางไปแบ็คแลนด์ ระหว่างทางมันผ่านเมืองซึ่งกําลังเกิดไฟไหม้อยู่ และได้ทําลายหุ่นยนต์สองตัวซึ่งเข้ามาขัดขวาง และพยายามจะตั้งคําถามพวกมัน แบ็คแลนด์อยู่ค่อนข้างไกล ที่นี่มีทั้งหลุมระเบิด และดินซึ่งถูกกัดเซาะ มนุษย์แข่งขันกันเพื่อสงครามบวก
กับความไร้สมรรถภาพในการดูแลป่าไม้ได้สร้างความแห้งแล้งและว่างเปล่าบนพื้นที่นับพันๆ ตารางไมล์ ที่นี่ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวได้เลยนอกจากฝุ่น
วันที่สามในแบคแลนด์ ล้อของหุ่นบริการได้ตกลงไปในร่องซึ่งนํ้ากัดเซาะ มันไม่สามารถจะดึงตัวเองขึ้นมาได้ บุลโดเซอร์พยายามผลักมันทางข้างหลัง แต่มันก็ได้เพียงแค่ออกแรงดึงตรงเพลาหลังของหุ่นบริการเท่านั้น หุ่นยนต์ที่เหลือมุ่งหน้าต่อไปพร้อมกับเสียงครํ่าครวญอันเบาลงทุกทีของหุ่นบริการซึ่งกําลังจะตาย
วันที่สี่ของการเดินทางภูเขาข้างหน้าเริ่มปรากฏชัดขึ้น
“ที่นี่แหละที่เราจะปลอดภัย” ผู้ดูแลไร่กล่าวอย่างมั่นใจ
“ที่นี่แหละที่เราจะตั้งต้นอาณาจักรของเราเอง เราจะทําลายทุกคนที่เข้ามาขัดขวางเรา”
ในทันใดนั้นเองพวกมันก็สังเกตเห็นเครื่องบินลําหนึ่งมันบินมาในทิศทางจากภูเขาตรงมายังพวกมัน มันบินโฉบลงมาแล้วก็ดึงหัวขึ้นไป อีกครั้งที่มันปักหัวดิ่งลงมาเกือบจะถึงพื้นดิน แต่แล้วก็ดึงหัวขึ้นได้อย่างทันควัน
“เจ้านั่นมันบ้าเรอะ” หุ่นตักดินถามขึ้น
“มันกําลังลําบาก” เจ้าแทรกเตอร์ตอบ
“ใช่…มันกําลังลําบาก” ผู้ควบคุมสถานีวิทยุตอบ “ตอนนี้ผมกําลังพูดกับมันอยู่ มันบอกว่ามีข้อขัดข้องในการบังคับเครื่อง”
ขณะที่ผู้ควบคุมสถานีวิทยุกําลังพูดอยู่นั้น เจ้าเครื่องบินก็บินเฉียดตัวพวกนั้นไป ควงสว่าน และโครม! มันลงกระแทกพื้นห่างจากพวกมันไม่ถึง 400 หลา
“มันยังพูดกับคุณอยู่หรือเปล่า” ผู้ดูแลไร่ถาม
“ไม่แล้ว”
พวกมันยังคงสนทนากันต่อไปเรื่อย หลังจากนั้นสิบนาทีผู้ควบคุมสถานีวิทยุก็พูดขึ้นว่า “ก่อนที่เจ้าหุ่นเครื่องบินจะระเบิด มันได้ให้ข้อมูลกับผมบางอย่าง มันบอกว่ายังคงมีมนุษย์เหลืออยู่บ้างในแถบเทือกเขานี้”
“มนุษย์อันตรายกว่าหุ่นยนต์” หุ่นตักดินสอดขึ้นมา “แต่โชคยังดีที่ผมมีสารระเบิดชนิดเยี่ยมอยู่ด้วย”
“ถ้ายังมีมนุษย์เหลืออยู่ในแถบเทือกเขาเหล่านี้ละก็ เราไม่ควรไปยังภูเขาส่วนนั้น” แทรกเตอร์เสนอความคิดเห็นบ้าง
“ฉะนั้น เราไม่ควรพบมนุษย์พวกนั้น” แทรกเตอร์อีกตัวหนึ่งพูดขึ้นบ้าง
ในวันที่ห้าซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเดินทาง พวกมันก็มาถึงตีนเขา ทุกตัวต่างเปิดแสงอินฟราเรด พวกมันเริ่มไต่เขาโดยเดินเป็นแถวเรียงหนึ่งฝ่าไปในความมืด เจ้าบุลโดเซอร์นําหน้าผู้ดูแลไร่ติดตามอย่างกะรุงกะรัง ต่อด้วยหุ่นตักดินพร้อมด้วยผู้ควบคุมสถานีวิทยุท้ายขบวน ยิ่งแต่ละชั่วโมงผ่านไปความชันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และพวกมันก็เริ่มเดินทางได้ช้าลงเรื่อยๆ
“เราไปกันได้ช้ามาก” ผู้บันทึกรายงานท้วงติงขึ้น ขณะนี้มันไต่ขึ้นไปอยู่เหนือผู้ควบคุมสถานีวิทยุแล้วกะพริบเครื่องนําร่องในเวลากลางคืนลงมายังหุ่นส่วนที่เหลือ “ถ้าเรายังคงใช้ความเร็วเท่านี้อยู่ละก็ เราก็ไม่ต้องไปไหนกันหรอก”
“เรากําลังไปกันอย่างเร็วที่สุดที่เราสามารถจะทําได้นะ” หุ่นตักดินสวนออกมาทันที
“ฉะนั้น เราไม่สามารถจะไปได้เร็วกว่านี้” บุลโดเซอร์กล่าวเสริม
“ฉะนั้น แกนั่นแหละที่งุ่มง่าม” ผู้บันทึกรายงานตอบ ทันใดนั้นเจ้าหุ่นตักดินก็ฟาดเปรี้ยงลงมายังผู้บันทึกรายงาน ผู้บันทึกรายงานเสียหลักร่วงลงกระแทกกับพื้นดิน
“ช่วยผมด้วย” มันร้องไปยังแทรกเตอร์ ในขณะที่ทั้งสองกําลังจะเคลื่อนผ่านไปอย่างระมัดระวัง “ล้อของผมมันหลุดแล้ว ฉะนั้นผมลุกขึ้นมาไม่ได้แน่”
“ฉะนั้น คุณก็ต้องนอนอยู่ที่นั่นแหละ” แทรกเตอร์ตัวหนึ่งพูดขึ้น
“…จะไม่มีหุ่นบริการที่จะซ่อมแกด้วย” ผู้ดูแลไร่ร้องบอก
“ถ้าเช่นนั้นผมก็ต้องนอนขึ้นสนิมอยู่นี่ละซิ” ผู้บันทึกรายงานร้องอย่างละลํ่าละลัก “ผมมีสมองอันดับสามนะ”
“ฉะนั้น แกก็ไม่มีประโยชนอะไรต่อไปอีกแล้ว” ผู้ควบคุมสถานีวิทยุเห็นพ้องด้วย และพวกมันก็เดินทางกันต่อไป ปล่อยผู้บันทึกรายงานทิ้งไว้เบื้องหลัง
เมื่อพวกมันมาถึงยังที่ราบสูงแห่งหนึ่ง มันเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนจะสว่าง มันหยุดโดยเห็นพ้องต้องกัน และขยับเข้ามารวมกันจนชิด
“นี่เป็นดินแดนซึ่งดูแปลก” ผู้ดูแลไร่เอ่ยขึ้น
ความเงียบเข้าครอบคลุมพวกมัน จนกระทั่งรุ่งเช้า มันปิดสวิตช์แสงอินฟราเรด ตอนนี้ผู้ดูแลไร่ทําหน้าที่เป็นผู้นําทาง มันค่อยๆ คลานอย่างเชื่องช้าผ่านโค้งโค้งหนึ่ง ในทันทีทันใดนั้นมันก็พบว่าเบื้องหน้ามันนั้นเป็นทุ่งหญ้าเล็กๆ ซึ่งมีลําธารไหลผ่าน
ด้วยแสงแดดแห่งยามเช้า ทุ่งหญ้าดูว่างเปล่าปราศจากสิ่งมีชีวิต และเยือกเย็นจากถํ้าบนตีนเขาไกลๆ นั้น ชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาลิบๆ ท่าทางเขาเหมือนเศษขยะที่มีชีวิตและเต็มไปด้วยความตื่นกลัว นอกจากย่ามเก่าๆ ใบหนึ่งที่แขวนอยู่ที่คอเขาแล้ว ตัวเขาเปล่าเปลือย รูปร่างเขาเล็กและเหี่ยวย่น ซี่โครงโปนออกมาจนเหมือนโครงกระดูกและแผลเน่าๆ บนขาข้างหนึ่ง ตัวเขาสั่นเทาตลอดเวลา ขณะที่หุ่นยนต์เคลื่อนเข้าไปใกล้นั้นชายคนนั้นยืนหันหลังให้ เขากําลังก้มลงดื่มนํ้าในลําธารอยู่
เมื่อเขาหันกลับมาก็พบพวกมันยืนประจันหน้าอยู่ในทันที พวกมันพบว่ารูปร่างเขาทรุดโทรมเนื่องจากขาดอาหาร
“นําอาหารมาให้ฉัน” เขาพูดเสียงแหบ
“ได้ขอรับเจ้านาย” หุ่นทั้งหมดตอบรับ “เดี๋ยวนี้เลยครับท่าน” Ω
ถอดความจาก Who Can Replace A Man? ของ Brian W. Aldiss โดย ประหยัด โภคฐิติยุกต์
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารมิติที่ 4 ฉบับที่ 6 เดือนมีนาคม 2523
พิมพ์ครั้งที่สองในหนังสือรวมเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ “หัวใจกล”