คลังเก็บหมวดหมู่: Mystery

ลาร์รี่ นักสืบรุ่นเยาว์

ด้วยฉายา “เครื่องจักรนักเขียนไอแซค อาซิมอฟ ได้ฝากผลงานไว้อย่างมากมายหลายแนว แม้ว่าจะมีชื่อเสียงมาจากนิยายวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมากก็ตาม อาซิมอฟ ยังมีผลงานทางด้านรหัสคดีอยู่หลายชุดด้วยกันทั้งที่เป็นนวนิยาย เรื่องสั้นและรวมเรื่องสั้น

รหัสคดีที่เป็นที่นิยมของเขาอาทิเช่น ชมรมแม่ม่ายดำ (The Black Widow) ปริศนายูเนี่ยนคลับ (Union Club) และรหัสคดีวิทยาศาสตร์เลื่องชื่ออย่างชุดนักสืบหุ่นยนต์ อาลีจาห์ เบลีย์ กับ ห.ดานีล โอลิวาล์ว   กระนั้น อาซิมอฟก็ยังมีรหัสคดีสำหรับเด็กอีกชุดหนึ่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ลาร์รี่ นักสืบรุ่นเยาว์ วัยกระเตาะ ซึ่งตีพิมพ์วาดลวดลายอย่างต่อเนื่องในนิตยสาร Boy’s Life และอื่นๆ ในระหว่างปีค.ศ. 1975 – 1983 อีกทั้งตีพิมพ์รวมเล่มถึงสองเล่มด้วยกันดังนี้ อ่านเพิ่มเติม ลาร์รี่ นักสืบรุ่นเยาว์

คำปริศนา

ปกติ พ่อเป็นคนเก็บอารมณ์ความรู้สึกได้ดียิ่ง ไม่เคยแสดงความโกรธออกมาสักครั้งก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงเหมาเอาว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผมเป็นเด็กดี แต่พ่อก็แย้งว่า นั่นเป็นเพราะผมรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางต่างหาก

แต่คราวนี้มันไม่เป็นยังงั้น ผมไม่ได้หลบลี้หนีหน้าไปไหน พ่อตรงมายังจุดที่ผมนั่งอยู่ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความโกรธ พอมาถึงก็กระชากหนังสือพิมพ์ เธอะ นิวยอร์ค ไทม์ ไปจากมือแล้วเอ่ย “แกกำลังทำอะไรอยู่หื้อไอ้หนู ไม่มีสมองคิดหรือยังไง?”

ผมลุกขึ้นยืนโดยมีดินสออยู่ในมือ ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย จึงเอ่ยถามออกไปว่า “มีอะไรเหรอครับ พ่อ?”

แม่รีบเดินเข้ามา ผมเดาได้เลย แม่คงต้องการมาดูให้รู้แน่ว่าพ่อยังไม่ถึงกับลงไม้ลงมือกับลูกชายคนเดียวของหล่อน

“มีเรื่องอะไรกันหรือ” แม่เอ่ยซัก “ลูกทำอะไรผิด”

อ่านเพิ่มเติม คำปริศนา

ปรัศวภาควิโลม

กฎ 3 ข้อของหุ่นยนต์ศาสตร์มีไว้ว่า

  1. หุ่นยนต์ ไม่ทำอันตรายมนุษย์ หรือกระทำการใดๆ ซึ่งยังผลให้มนุษย์ได้รับอันตราย

  2. หุ่นยนต์ต้องเชื่อฟังคำสั่งของมนุษย์ ยกเว้นคำสั่งนั้นจะขัดกับกฎข้อ 1

  3. หุ่นยนต์ต้องป้องกันร่างกายของตนเองให้คงอยู่ตราบเท่าการป้องกันนั้นไม่ขัดกับกฎข้อ 1 หรือข้อ 2

ลิเจ บาเลย์ เพิ่งตัดสินใจจะจุดไฟกล้องยาสูบขึ้นใหม่ พอดีประตูสำนักงานของเขาเปิดออกโดยไม่มีเสียงเคาะประตูหรือร้องบอกตามมารยาทก่อนเลยบาเลย์หันไปมองอย่างรำคาญ และแล้วก็ต้องทิ้งกล้องยาสูบลง ความคิดของเขาคงจะสวดเขาแย่ เพราะเขาปล่อยให้มันตกลงมานอนแอ้งแม้ง

“หุ่น ดานีล โอลิวาฟ” เขาพูดด้วยความตื่นเต้นสงสัย “ให้ตายซี นี่แกจริงๆ หรือ”

“คุณพูดถูกทีเดียว” หุ่นร่างสูงสีบลอนด์ที่เพิ่งก้าวเข้ามาพูดลักษณะที่สม่ำเสมอและเยือกเย็นของเขาไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย “ผมเสียใจที่ทำให้คุณแปลกใจโดยไม่ได้เตือนก่อนล่วงหน้า แต่ในสถานการณ์อันละเอียดอ่อนเช่นนี้ต้องมีคนและหุ่นมาเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด ผมดีใจมากที่พบคุณอีกครั้งหนึ่ง สหายเอลิจาห์”

แล้วหุ่นตัวนั้นก็ยื่นมือออกมาด้วยท่าทางที่เหมือนมนุษย์ แต่บาเลย์กลับจ้องมองดูมือที่ยื่นออกมาด้วยความงงงวย และไม่เข้าใจเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ แล้วเขาก็จับมือหุ่นด้วยมือทั้งสองข้าง “ดานีลทำไมต้องเกรงใจถึงอย่างนี้ แกมาได้ตลอดเวลาทีเดียวแต่อะไรนะที่แกว่าสถานการณ์อันละเอียดอ่อน พวกเราอยู่ในความลำบากอีกหรือ ฉันหมายถึงบนโลกน่ะ”

“ไม่หรอกสหาย เอลิจาห์ มันไม่เกี่ยวกับโลกเลย สถานการณ์ ซึ่งผมอ้างว่ามันละเอียดอ่อนนั้นดูอย่างผิวเผิน มันก็เป็นเรื่องเล็ก เป็นข้อพิพาทระหว่างนักคณิตศาสตร์ 2 คนเท่านั้นเอง และเนื่องจากเราเผอิญมาอยู่ใกล้โลกพอดีจึง…”

“ข้อพิพาทเกิดขึ้นบนยานอวกาศละซิ” อ่านเพิ่มเติม ปรัศวภาควิโลม

แอบดู! พอลล่า

วันอังคาร, 7 กันยายน

พอลล่า เดินจากห้องนั่งเล่นไปยังห้องอาบน้ำ ผมวิตกว่าต้องคาดสายตาไปจากเธอซะแล้ว แต่เพียงแค่นาทีเดียวเธอก็ย้อนกลับเข้ามาให้เห็นอีกครั้ง ผมมองอย่างตั้งอกตั้งใจผ่านกล้องส่องทางไกลของผม (รุ่น เซเลสตรอน ซี 90, เก้าพันแปดร้อยห้าสิบบาทเชียวนา แต่มันก็คุ้มค่าทุกสตางค์)

เธอปล่อยให้เสื้อคลุมตกลงบนพื้น ทำเอาผมต้องหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ เธอก้าวไปอยู่ใต้ฝักบัว และแล้วห้องอาบน้ำก็อวลไปด้วยละอองน้ำ แม้จะถูกละอองน้ำคลุมตัวอยู่ ผมก็ยังคงเห็นเธอลูบไล้ทรวงอกอันเปลือยเปล่าด้วยสบู่ เธอค่อยๆ เลื่อนมือลูบไล้ไปทั่วร่าง เธอพลันขยุ้มเบาๆ ตรงระหว่างขาที่บริเวณอันน่าลิ้มเลีย สักชั่วขณะหนึ่งเธอก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า

ร่างของเธอดูชมพูระเรื่อ สะอาดและดูดี ผิวของเธอยังเปียกปอนไปด้วยละอองน้ำ ในช่วงเวลานั้น ผมจินตนาการไปว่าได้อยู่ในห้องอาบน้ำนั่นกับเธอด้วย ทั้งยังช่วยเธอขัดถูบริเวณที่ลับเฉพาะสำหรับเธอกับผมเท่านั้น

ความคิดนั้นครอบงำผมให้หลงใหล มันช่างน่าประหลาดใจ ผมลูบไล้ตัวเองแบบเดียวกันกับที่เธอทำ แล้วก็…ไม่น่าประหลาดใจ ผลที่ได้ย่อมเป็นเช่นเดียวกันกับเธอ

ผมคิดว่าผมกำลังตกหลุมรักเข้าให้แล้วล่ะ

* * * *

พอลล่า

วันพุธ, 8 กันยายน

เวลาพักเที่ยงของผมเกือบที่จะหมดลงอยู่รอมร่อ แต่ผมก็ยังคงยืนแกร่วรออยู่ตรงบริเวณสำหรับสูบบุหรี่ในอาคารสำนักงานที่พอลล่าทำงานอยู่ จมูกของผมระคายเคืองไปด้วยกลิ่นบุหรี่ที่อบอวล แม้ว่าพวกเขาจะห่อหุ้มมันไว้ด้วยกระดาษฟลอยด์และยัดมันไว้ในกล่องก็ตามที ช่างน่าประหลาดใจซะจริง ทำไมนะ มาร์ลโบโร ถึงราคาแพงกว่า กรองทิพย์ ถึงเกือบสองเท่าทั้งๆ ที่ทั้งสองแทบจะไม่ต่างกันเลย ในที่สุดเธอก็ก้าวออกมาจากลิฟต์ เธอดูจะอึดอัดเล็กน้อยกับกระโปรงอันแสนสั้น ส้นเท้าของเธอย่ำลงบังเกิดเสียงที่ไพเราะและเซ็กซี่ กึก-กึก-กึก บนพื้นอันแสนจะสกปรก

เธอก้าวตรงมาที่ผมอย่างไม่คาดคิด —ก็ผมเป็นคนแอบมองและเธอเป็นผู้ถูกแอบมองนี่นา— ผมก้าวเดินตามหลังเธอก้าวต่อก้าว พลางถูกสะกดโดยสะโพกอันกลมกลึงของเธอที่ส่าย ขยับขึ้นลง สอดคล้องกันอย่างเป็นจังหวะ ลอยอยู่เบื้องหน้า

เธอก้าวเข้าไปในร้านหนังสือ (ผมรู้กิจวัตรของเธอดี ผมเคยรอเธออยู่ที่นี่ แต่ผมก็ไม่เคยเฝ้ามองเวลาเธอเดินมาก่อน) และตรงไปที่แถวหนังสือแนวโรแมนติค ในเวลาเดียวกับที่ผมตอกบัตรและเข้าไปในที่ทำงานของผม โต๊ะเก็บเงิน เธอโก้งโค้งดูหนังสือที่อยู่ชั้นล่างสุด กระโปรงของเธอถลกขึ้นเหนือต้นขา เท่าที่ผมจะทำได้ก็คือพยายามที่จะไม่ร้องออกมา แต่ละตารางนิ้วของเนื้อสาวที่ขาวสดที่ผมรู้จักดีเผยออกมาให้เห็น ผมภาวนาว่าเธอคงจะใส่ชั้นในมาด้วยนะ (เช้านี้ผมตื่นสายไปหน่อย เลยไม่ทันได้แอบดูเธอ) ผมปรารถนาที่จะให้มันสงวนไว้สำหรับสายตาของผมเท่านั้น ผมเริ่มที่จะคิดถึงทุกๆ สิ่งที่ผมปรารถนาจะทำกับมันด้วยริมฝีปากของผม ลิ้นของผม นิ้วของผม—ทันใดนั้นผมพลันพบว่าผมกำลังจ้องไปที่ว่างเปล่า ที่พอลล่าเคยยืนอยู่ ตอนนี้เธอมายืนอยู่ต่อหน้าผมพร้อมกับหนังสือสองสามเล่ม ผมรู้สึกตกประหม่าจนต้องนับหนึ่งถึงสามในใจก่อนที่จะพบว่ามันเป็นความจริง

เธอยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่แฝงแววขบขัน ผมพึมพำขอโทษขอโพย พลางพยายามซ่อนนิ้วไว้ในอุ้งมือเพื่อป้องกันมันไว้จากการฉีกทึ้งเสื้อของเธอต่อหน้าบุคคลอื่นๆ เธอรับหนังสือและเงินทอนแล้วก็เดินออกไป ผมกวาดเอาความหอมหวานออกจากใบหน้า แลพลันรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโง่เง่าซะเต็มประดา

อย่างไรก็ดี, คงไม่มีคนโง่คนไหนที่จะฉุกคิดได้ทันที่จะขอให้พอลล่าเธอจดเบอร์โทรศัพท์ให้ตอนที่เธอใช้บัตรเครดิตวีซ่าซื้อหนังสือเล่มแรกหรอกนะ หากไม่มีชื่อและเบอร์โทรของเธอผมก็คงไม่มีทางหาที่อยู่ของเธอจากสมุดโทรศัพท์ได้หรอก และถ้าหากไม่มีที่อยู่นั่นผมก็คงไม่สามารถหาอพาร์ทเมนต์ที่อยู่ใกล้เธอแค่ข้ามถนนได้ ที่ซึ่งสามารถติดตั้งเจ้าเซเลสตรอน ซี 90 กล้องส่องทางไกลที่มีกำลังขยายสูงพอที่เห็นปานสีชมพูระเรื่ออันเล็กๆ บนต้นขาอ่อนด้านซ้ายของเธอได้

อันที่จริง ผมอยากจะสงวนลูกเล่น (มันช่างเป็นคำที่น่าปลาบปลื้มและช่วยเตือนให้ผมระลึกถึงทุกๆ สิ่งที่ผมปรารถนาที่จะทำกับพอลล่า) ที่ใช้หยอกล้อเธอไว้เป็นการส่วนตัว ผมเริ่มเขียนโน็ตและสอดผ่านใต้ประตูห้องของเธอ ผมยังฉลาดพอที่จะรู้ว่าไม่ควรใช้ลายมือของตัวเองเขียนโน็ตนั่น หรือ คุณรู้มั๊ยว่าเป็นงานที่ยุ่งยากแค่ไหนที่จะต้องตัดตัวอักษรหัวข้อข่าวจากหนังสือพิมพ์เพียงเพื่อที่จะสะกดคำว่า

ผมอากจะกลืนกินคุณ

(ผมพยายามใช้ตัวอักษรตัวเข้มแบบบาร์ววาลเลีย นิวขนาด 26 ทั้งหมด แต่ผมหาตัว”ย” ไม่เจอ ผมได้แต่หวังว่าเธอคงจะไม่คิดว่าผมไร้การศึกษานะ)

ผมขับรถไปถึงพิจิตร แล้วถึงค่อยส่ง ไวเบรเตอร์กับเจลหล่อลื่น มาให้เธอทางไปรษณีย์ ผมหมายความว่าไม่ใช่ใกล้แค่บางนา หรือบางกะปิ นี่ไกลถึงตั้งพิจิตรเชียว ให้ตายเหอะ

ผมเพียงแต่อยากจะบอกคุณว่าใครกันที่เป็นคนโง่กันแน่

* * * *

วันพฤหัสบดี, 9 กันยายน

พอลล่ากับผมตื่นขึ้นพร้อมกัน บางทีผมควรจะบอกว่าเราตื่นขึ้นในเวลาเดียวกันซะมากกว่า ผมทอดสายตามองผ่านกล้องเซเลสตรอน ซูมให้ใกล้ที่สุดจนเห็นกระทั่งจุดกระสันของเธอที่เต้นระริกเป็นจังหวะ แล้วผมก็เบนไปดูหน้าอกของเธอ โอว…พระเจ้า ผมอยากจะร้องออกมาดังๆ ซะจริง ก็หัวนมของเธอมันไม่ได้ชูชันขึ้นมาเลยนี่ เธอน่าจะรู้ตัวเธอเองดีนะ เธอต้องรู้สิ!— ผมอยากที่จะดูด เลีย แล้วก็กัดให้มันชันขึ้นจัง แต่นี่ผมทำได้แค่จ้อง แล้วก็จ้อง แล้วก็คลั่ง คลั่ง คลั่งใส่เธอ

เธอลุกขึ้น และถอดเสื้อคลุมออกแขวนไว้ที่ราว แล้วก็เริ่มแต่งตัว เธอเริ่มสวมบรา แล้วก็สวมกางเกงใน ผมแทบสิ้นสติด้วยความเดือดดาล ใครๆ ก็รู้ หากว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างที่ผิดแผกไปจากปกติ มันก็จะยิ่งผิดแล้วผิดอีก และหากว่าผมอยู่ที่ตรงนั้นละก็ ผมคงจะโยนไอ้ไวเบรเตอร์ห่าเหวนั่นไปให้ไกลๆ เลย

ผมหัวเสียน่าดู ก็ผมไม่อาจที่จะตามเธอไปทำงานได้ทันอย่างเช่นเคย โดยปกติแล้วผมชอบที่จะแอบมองเธอยกแขนขึ้นตอนโบกรถเมล์ หน้าอกของเธอกระเพื่อมเป็นจังหวะน่าดูเชียวล่ะ อีกทั้งตอนที่เธอนั่งลง กระโปรงที่แสนสั้นของเธอยังถกขึ้นอีกด้วย แต่ตอนนี้ ทุกๆ อย่างสำหรับวันนี้สูญสลายไปหมด เพราะเธอแท้ๆ เชียว

ถ้าหากว่าเธอยังไม่แสดงอะไรให้เห็นเป็นที่น่าพึงพอใจละก็ ผมคงจะต้องทำอะไรร้ายๆ กับเธอสักอย่างล่ะ

ช่าย…ผมจะทำแน่

* * * *

วันศุกร์, 10 กันยายน

ผมบ้าจนแทบคลั่ง ผมเกือบที่จะฆ่าเธอ!

วันนี้ เธอไม่ได้ใส่บรา เธอไปที่ป้ายหยุดรถประจำทางทั้งๆ แบบนั้น ทั้งนั่งทั้งยืน บิดนู่นโยกนี่ให้ใครต่อใครเห็น ผมหมายความตามนั้นแหล่ะ คุณสามารถมองเห็นได้ทุกอย่างเลย รถเมลล์มาสายสักหลายนาทีทีเดียว มีผู้ชายหลายต่อหลายคนเข้ามาคุยกับเธอระหว่างที่รอ หัวนมของเธอแทบจะดันทะลุเสื้อออกมาอยู่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพราะพวกผู้ชายนั่น

แล้วยัง ไอ้คนขับรถเมล์นั่นอีก มันแจกยิ้มให้เธอลูกใหญ่เชียว ปกติแม่งไม่เคยสนใจห่าเหวอะไรเลย แม้แต่หมาที่ข้ามถนนตัดหน้ารถมัน นี่ถ้าหากเธอหยุดอยู่หน้ามันนานกว่านี้อีกสักวินาทีเดียว เห็นทีผมจะต้องหั่นไอ้จู๋ของมันแล้วทิ้งให้บรรดาหมาที่มันชอบวิ่งไล่ชนกินซะให้เข็ด

ไม่ว่าจะเป็น หน้าอก ขาอ่อน หรือ สะโพก ทุกสัดส่วนของมีพอลล่ามีไว้ให้ผมดูเท่านั้น มันต้องเป็นของผมเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ! ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ผมรักจะไปเที่ยวอวดเรือนร่างยังกับผู้หญิงร่านสวาทแบบนี้ นั่นแหละที่ผมต้องการจะบอก

มันจะเป็นการดีกว่าถ้ามันจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

หรือไม่ยังนั้นละก็…

* * * *

วันเสาร์, 11 กันยายน

วันนี้ผมตามเธอไปถึงที่ชายทะเล ผมนั่งอยู่ห่างออกไปสักสองร้อยเมตรเห็นจะได้ ผมเฝ้ามองเธอผ่านกล้องในมืออย่างไม่วางตา

ดูเหมือนว่าเธอจะหามุมส่วนตัวที่พอใจแล้ว เธอถอดผ้าที่พันตัวออกเผยให้เห็นบิกินี่ทูพีซสีน้ำเงินเข้มตัวจิ๋ว เธอคงสูดลมหายใจลึกๆ เพราะผมเห็นหัวนมเด้งดันขึ้นมา ผมสั่นระริกเล็กน้อยยามที่เฝ้ามองเธอผ่านกล้องสองตา (เพาเวอร์ออปติก 30 x 80, หกพันเจ็ดร้อยยี่สิบบาท ไม่มีขาตั้ง) และผมก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องไม่มีใครคนไหนที่จะมาเห็นเธอแบบนี้อีก แม้ว่าบิกินี่นั่นจะดูดีสำหรับผู้หญิงแบบเธอก็ตามที แต่คุณก็สามารถมองเห็นปานเล็กๆ ใกล้ๆ จุดสวาทของเธอได้ ให้ตายเหอะ! ผมคงต้องเขียนไปเตือนเธอให้ใส่ชุดที่มิดชิดกว่านี้หน่อยล่ะ ผมเช็ดน้ำลายที่ไหลย้อยออกมาริมฝีปาก แล้วก็หันกลับไปมองที่เธออีกครั้ง

มีชายหนุ่มผิวสีแทน สูงโปร่ง เข้ามาหยุดคุยกับพอลล่าของผม ไอ้หนูของมันแทบจะทะลักออกมาจากกางเกงว่ายน้ำอยู่แล้ว

ผมหันไปหากระเป๋าถือแล้วก็งัดเอา บาร์เร็ตต้า .22 ออกมา ผมสอดนิ้วชี้เข้าไปในช่องไกปืน ส่องลำกล้องตรงไปยังมัน คอยดูว่ามันจะทำอะไรกับพอลล่า ผมเริ่มนับหนึ่งถึงยี่สิบ พอผมนับถึงสิบสี่มันพลันยักไหล่แล้วก็เดินจากไป เธอไม่รู้หรอก อีกแค่เพียงหกวินาทีเท่านั้นเอง เธอช่วยชีวิตไอ้หนุ่มนั่นเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด

* * * *

วันอาทิตย์, 12 กันยายน

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเจ็ดโมงครึ่ง เอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุกที่กำลังร้องลั่น (โซนี่ ไอซีเอฟ-ซี212 ,พร้อมวิทยุเอเอ็ม-เอฟเอ็ม, เจ็ดร้อยเก้าสิบบาทถ้วน จากเว็บไซต์ของบริษัทที่นำเข้าโดยตรง, นอกจากมันจะปลุกซ้ำได้ แล้วมันยังมีระบบสำรองไฟเวลาไฟดับอีกด้วย) จากนั้นผมก็คว้า เซเลสตรอน กล้องคู่ใจขึ้นมาสอดส่ายหา พอลล่า เธอนอนแผ่อยู่ที่นั่น ดูท่าเธอคงจะยังหลับสนิท เนินเนื้อที่ดูแสนจะนุ่มนิ่มของเธอสะท้อนขึ้นสะท้อนลงอย่างสม่ำเสมอ

เก้าโมงแล้ว สิบโมงก็แล้ว เธอก็ยังคงหลับอยู่ ผมไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้ ผมเกรงว่าหากละสายตาในขณะที่เธอตื่นขึ้นมา แล้วผมก็จะพลาดช่วงเวลาสำคัญประจำวันไปเสีย ผมเริ่มรู้สึกว่าจะทนการเสียเวลาไปไม่ได้แล้ว เธอไม่รู้เลยรึไงว่าผมต้องทนนั่งโดยไม่ขยับเขยื้อนตัวไปไหนนานเพียงใดแล้ว ตาของผมแทบจะติดกับกล้องอยู่แล้ว มันช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย มันน่าจะมีทางเลือกอื่น ผมพยายามครุ่นคิดหาทางหลุดจากสถานการณ์นี้ โดยปราศจากการละสายตาจากร่างของเธอ ผมควานไปข้างหลังอย่างสะเปะสะปะ ในที่สุดก็คว้าเจอโทรศัพท์เข้าจนได้

ผมโทรไปหาเธอทันที สักครู่ เธอก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ผ้าห่มที่คลุมร่างเธอหล่นมากองตรงขาอ่อน ผมเห็นหัวนมของเธอชูชัน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมพึงพอใจแต่อย่างใด เพราะผมรู้ว่าเธอกำลังฝันถึงเขา กำลังฝันว่าใบหน้าที่คมเข้มนั่นกำลังซุกไซร้อยู่ที่หว่างขาอ่อนของเธอ มือหยาบกร้านสีแทนลูบไล้อยู่ทุกอณูบนร่างของเธอ ในขณะที่ปากสีชมพูน้อยๆ ของเธอก็กำลังดูดดื่มอยู่กับไอ้จ้อนที่กำลังลุกชันอย่างเต็มที่ เมื่อเธอยกหูโทรศัพท์ขึ้น ผมแทบคลั่ง พูดอะไรไม่ออก ผมได้แต่สูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงใส่หูโทรศัพท์นั่น

ผมรอกระทั่งตัวผมหยุดสั่น และเสียงหวีดในหูจางหายไป ผมจึงโทรไปหาเธออีกครั้ง

“สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ย

ผมมัวแต่จ้องไปที่เธอจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง เธอจึงวางหูไปอีกครั้ง ตอนนี้เธอตื่นแล้ว หลังจากที่ผมเฝ้ามองเธอเข้าไปอาบน้ำ ออกมาเช็ดตัวจนแห้ง พรมแป้งและน้ำหอมบนตัว ผมก็โทรไปหาเธออีกเป็นครั้งที่สาม เวลานี้ผมรู้สึกว่าผมสามารถควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดีแล้ว คราวนี้แหละผมจะต้องวางกฎเกณฑ์ให้เธอสักหน่อย

“สวัสดีค่ะ” เธอทักเช่นเคย

“สวัสดี, พอลล่า” ผมทักอย่างนุ่มนวล

“นั่นใครค่ะ” เธอถาม

พอลล่า, รู้สึกว่าเรื่องระหว่างเรามันไม่น่าพึงพอใจนัก” ผมเกริ่น “คุณคงจะต้องหยุดทำตัวไม่เข้าท่าซะที”

“นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรรึเปล่า” เธอถาม แต่เท่าที่ผมมองเธอผ่านตากล้อง ผมรู้ว่าเธอไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสนุกอะไร

“ถ้าหากว่าเราจะยังคงเป็นคู่รักกันอยู่” ผมกล่าวต่อ “ถ้าเธอยังอยากจะโชว์เรือนร่างที่น่าฟัดของเธอกับผมล่ะก็ เห็นทีเราคงต้องมาทำความเข้าใจกันสักหน่อยล่ะ”

“มาลินี, นั่นเธอเหรอ” เธอเดาสุ่ม “มุกตลกของเธอมันไม่น่าสนุกเลยนะ”

“ใครกัน, มาลินี” ผมท้วง “คุณเห็นใครที่ชื่อมาลินีงั้นเหรอ”

“นั่นใครน่ะ” เธอเริ่มเสียงดัง

“คุณควรที่จะห่างๆ จากยัยมาลินีนั่นด้วย” ผมเตือนเธอ “ผมไม่อยากได้ยินอะไรเกี่ยวกับยัยนั่นอีก” ทันใดผมก็ตระหนักว่าผมเริ่มออกนอกประเด็น และกำลังตะโกนเช่นกัน ผมพยายามสูดลมหายใจลึกๆ ลดเสียงลง แล้วพยายามพูดอย่างช้าๆ และเน้นๆ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าคุณไปพูดอะไรกับไอ้หนุ่มผิวแทนนั่นแม้แต่คำเดียว แค่เพียงคำเดียวนะ ผมจะฆ่ามัน”

เธอวางโทรศัพท์ลงทันที และเริ่มเดินวนไปทั่วห้อง ท่าทางตกใจน่าดู

ผมยิ้ม ผมได้ในสิ่งที่ผมต้องการแล้ว เรื่องต่างๆ ระหว่างเราคงจะดีขึ้น

* * * *

วันจันทร์, 13 กันยายน

วันนี้ พอลล่า สวมบราและกางเกงชั้นในชนิดยากที่จะถอดออก เธอพยายามสังเกตทุกๆ คนที่ป้ายรถเมล์ เธอค่อยๆ มองผ่านใบหน้าของทุกคนอย่างระมัดระวัง แต่เธอไม่เจอผมหรอก ผมยังคงอยู่ในห้อง มองเธอผ่านหน้าต่าง วันนี้ผมก็ไม่ได้ไปรอเธอที่บริเวณสำหรับสูบบุหรี่ด้วย ตอนที่เธอเดินเข้ามาในร้านหนังสือ ผมก็พยักหน้าและยิ้มให้เธออย่างเบิกบาน เธอมองผ่านผมไป และเดินหาหนังสือสักครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร ผมเดาว่าเธอคงยังคิดถึงเรื่องที่เราคุยกันเมื่อวานอยู่

เยี่ยม, แม้ว่ามันจะเป็นการสนทนาครั้งแรก และเราไม่ได้ทำความรู้จักกันจริงๆ ผมก็ดีใจที่เห็นว่าเธอเป็นคนที่จริงจัง และไตร่ตรองในสิ่งที่ผมบอกอย่างเอาใจใส่

ผมคิดว่านี่เป็นจุดเริ่มของความสัมพันธ์ที่สวยงาม น่าไว้วางใจ และยาวนาน

* * * *

วันอังคาร, 14 กันยายน

วันนี้ผมเลิกงานเร็วกว่าปกติ และรีบตรงกลับบ้านเพื่อที่จะคอยมองใบหน้าอันแสนหวานของ พอลล่า เวลาที่เธอเปิดกล่องพัสดุ ผมต้องรอเธอเกือบชั่วโมง และแล้วเธอก็กลับมา เธอวางกล่องพัสดุรวมๆ กับบรรดาจดหมายบนโต๊ะทานอาหาร พลางจ้องดูราวกับเกรงว่ามันจะเป็นระเบิด ในที่สุดเธอก็เปิดมันออก เธอค่อยๆ หยิบของในกล่องออกมาดู มีบราสีดำที่มีร่องเล็กๆ เพื่อให้ปลายถันของเธอสามารถดันทะลุออกมาได้ และกางเกงในลูกไม้สีดำที่ตรงจับปิ้งถูกดึงออกเว้นเป็นร่องไว้ แล้วเธอก็เห็นข้อความบนการ์ด: “สำหรับร่างอันร้อนเร่าของคุณ ที่ช่างบาดใจผมซะเหลือเกิน”

เธอเริ่มที่จะร้องไห้ ทำให้ผมรู้สึกน้ำตาคลอขึ้นมาเช่นกัน เนื่องเพราะผมรู้ได้ว่าผมได้มาซึ่งน้ำตาแห่งความสุขของผู้หญิงที่ผมรัก

* * * *

วันพุธ, 15 กันยายน

วันนี้เริ่มขึ้นเฉกเช่นเดียวกับวันอื่นๆ ไม่มีอะไรผิดแปลก ตลอดวันก็เป็นเช่นเดียวกับวันอื่นๆ แต่คงมีอะไรสักอย่างที่ผิดแผกไป เพราะเมื่อผมก้าวขึ้นไปบนรถประจำทางเพื่อที่จะกลับบ้าน ไม่มีพอลล่า! ช่างน่าตกใจอะไรอย่างนั้น ทำไม! เธอหายไปไหน! ผมรีบลงที่ป้ายถัดไปในทันที แล้วเริ่มเดินย้อนมาตามหาเธอ ด้วยความรีบเร่ง ผมคงชนใครเข้าสักคน แล้วก็ถูกเหยียบเท้าเข้าให้ แม้ว่ามันจะเจ็บสักเท่าไร ผมก็ยังคงเดินตามหาเธอต่อไป และในท้ายที่สุดผมก็ได้พบ

เธอนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ในผับเล็กๆ แห่งหนึ่ง ผมมองผ่านกระจกหน้าต่างหน้าร้านเข้าไป ผมมองเห็นในมือเธอมีแก้วเครื่องดื่มอะไรสักอย่าง ผมไม่ค่อยสันทัดในเรื่องนี้ ก็เลยบอกไม่ได้ว่าเครื่องดื่มในมือเธอเป็นอะไร ในช่วงเวลานี้คงไม่ใช่เวลาทองของร้านนี้ มีลูกค้านั่งอยู่ไม่กี่ราย มีนักธุรกิจสามคนนั่งแยกกันอยู่ แต่นั่นก็คงจะเพียงพอแล้วกระมัง

ผมเดินตรงไปที่ร้านขายยาฝั่งตรงข้าม และมองกลับมาดูหมายเลขโทรศัพท์บนป้ายหน้าร้าน ผมโทรเข้าไปเพื่อขอพูดกับพอลล่า ดูเหมือนบาร์เทนเดอร์จะรู้สึกประหลาดใจทีเดียว แต่เขาก็เรียกชื่อเธอ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้

พอลล่า” ผมเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “คุณอย่าทำตัวเหลวไหลแบบนี้สิ”

“นั่นใครพูด” เธอถามกลับ, ด้วยน้ำเสียงพร่าสั่น

“คุณไม่ควรร่านเที่ยวเสนอตัวแบบนี้” ผมพล่ามต่อ “อวดเนื้ออวดตัวอยู่ต่อหน้าไอ้พวกผู้ชาย อย่างกับพวกผู้หญิงหากิน ผมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”

“ได้โปรด อย่ามายุ่งกับฉัน” เธอตะโกนใส่

“ออกจากที่นั่นเดี๋ยวนี้นะ หรือจะให้ฉันเข้าไปลากเธอออกมา” ผมขู่ใส่เธอ แล้วก็กระแทกหูโทรศัพท์ลง

ผมจ้องเห็นเธอกรีดร้องบางอย่างใส่โทรศัพท์ ก่อนที่เธอจะพบว่าสายถูกวางไปก่อน ทุกคนในร้านหันมามองที่เธอ ทันใดนั้นเธอก็ควักเงินจำนวนหนึ่งทิ้งลงบนเคาน์เตอร์ และออกมาเรียกรถแทกซี่

ผมต้องจำไว้ว่า จะต้องเตือนไม่ให้เธอจ่ายทิปให้กับบาร์เทนเดอร์มากเกินไป

* * * *

วันพฤหัส, 16 กันยายน

เช้านี้ พอลล่า ไม่ได้ลุกจากเตียงไปอาบน้ำอย่างเช่นปกติ
ผมรู้ว่าเธอคงอยากจะมีเวลาของตัวเองบ้าง แต่เป็นเพราะอากาศแบบเช้านี้ ทำให้ผมชักเริ่มเป็นห่วงซะแล้วสิว่าเธออาจจะไม่สบาย แต่ทันใดนั้นเธอกลับกระโจนพรวดขึ้นมาราวกับถูกไฟช็อต แล้วจ้องไปที่โทรศัพท์ ผมบอกได้เลยว่าเธอคงคิดว่ามันจะดังขึ้น เธอคงกลัวว่าผมยังคงกราดเกรี้ยวใส่เธออีก

ถ้าหากว่าเธอรู้จักผมมากขึ้นสักนิด เธอคงจะพบว่าที่จริงแล้วผมเป็นคนที่แสนจะอบอุ่นและใส่ใจในคนอื่นเสมอมา ผมตัดสินใจที่จะโทรหาเธออีกครั้ง เพื่อจะบอกเธอว่าผมให้อภัยเธอเสมอ แต่พอ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอกลับเอาศีรษะมุดเข้าไปอยู่ใต้หมอน ไม่มีอะไรให้มองนอกเสียจากภาพขยุกขยิกหลังมู่ลี่ ผมจึงตัดสินใจที่จะไปทำงานโดยไม่สนใจเธออีก

วันนี้ทั้งวัน ผมเฝ้าฉงนว่าใครกันที่โทรหาเธอเมื่อตอนแปดโมงเช้า มันทำเอาผมรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านจนกระทั่งกลับถึงบ้าน ผมเฝ้ามอง พอลล่า ตลอดสองสามชั่วโมงก่อนที่จะเข้านอน นั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง

* * * *

วันศุกร์, 17 กันยายน

เช้าวันนี้ ทุกอย่างดูราบรื่นเฉกเช่นทุกๆ วัน กระนั้น มันดูจะเรียบๆ เกินไป เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ผมเริ่มคิดอย่างหมกมุ่น จนทำเอาผมเกือบจะพลาดรถประจำทาง ผมคิดว่าควรจะมีบางสิ่งที่จะไปกระตุ้นเธอสักหน่อย เธอควรจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง หลังเที่ยง ผมจึงโทรไปหาเธอที่สำนักงาน

“สวัสดีค่ะ” เธอรับสายด้วยความกระตือรือร้น ในแบบของธุรกิจ “ให้ดิฉันช่วยอะไรมั๊ยค่ะ”

“คุณน่าจะช่วยได้” ผมตอบ “ผมส่งของขวัญให้คุณตั้งสามวันแล้ว แต่ยังไม่เห็นคุณลองใส่ดูเลย” ผมคิดว่าผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ปลายสาย อาจจะเป็นเสียงหอบหรือไม่ก็เสียงสะอื้น เธอไม่พูดตอบ ผมจึงพล่ามต่อ “ผมคิดว่าคืนนี้คุณควรจะใส่มันนอนนะ ที่รัก ผมอุตสาห์เสียเวลาตั้งนานกว่าจะเลือกมาได้ มันคงจะไม่น่าพอใจนักที่เธอจะไม่ใส่มันสักครั้งหนึ่ง”

เธอวางสาย หรือบางทีสายอาจจะหลุด ผมใช้เวลาช่วงบ่ายไปกลับการเพิ่มหนังสือใหม่ๆ ลงในชั้นรหัสคดี และนิยายวิทยาสาสตร์ แทนที่หนังสือเล่มเก่าๆ ที่ต้องดึงกลับไปรอให้พวกผู้จัดจำหน่ายมารับคืนไป บางรายดันมาในช่วงที่ใกล้จะปิดร้าน ทำให้ผมต้องพลาดรถคันประจำ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมหงุดหงิดอะไรนักหรอก เพราะว่าผมได้เห็น พอลล่า ในชุดวันนี้ แล้วผมก็ฝันถึงสิ่งที่เธอจะสวมใส่คืนนี้ด้วยความกระหายจนแทบระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่

ผมก้าวขึ้นบันไดอพาร์ตเมนท์ และเปิดล็อคประตูออก วันนี้ ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลยทั้งวัน ผมชักจะรู้สึกหิวเอามากๆ แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะมองหา พอลล่า ก่อน ผมตรงเข้าไปหาเซเลสตรอนกล้องตัวโปรด ทั้งที่อยากจะเห็นใจจะขาด แต่ก็ยังหวังว่าเธอจะไม่ด่วนตัดสินใจสวมบราและชุดชั้นในของขวัญที่ผมให้ก่อนเวลานอน ผมสอดสายตาผ่านกล้อง ผมจ้องจนตาแทบถลน ทันใดนั้นผมก็ต้องร้องขึ้นมาด้วยความเดือดดาล

เธอชักม่านทั้งหมดของเธอ ปิดซะสนิท!

ช่างร้ายกาจมาก ผมเบนกล้องจากห้องนอนของเธอ ไปยังห้องอื่นๆ มูลี่ แต่ละห้องล้วนแต่ปิดลงทั้งนั้น ไม่เห็นแม้แต่เงา ผมโทรหาเธอทันทีหวังว่าจะได้รับคำอธิบายที่สมเหตุสมผลหน่อย กลับพบว่าเธอได้เปลี่ยนโทรศัพท์ไปเป็นแบบที่ไม่แจ้งไว้ในสมุดโทรศัพท์แล้ว

มันช่างสุดเหลือจะทน! ผมวิ่งลงบันไดและข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว ผมรู้ดีว่าอีผู้หญิงร่าน เลว จอมยั่วโมโห และทรยศหักหลัง มันจะต้องไปเปิดประตูให้เป็นแน่ ผมจึงปีนหนีไฟขึ้นไปเข้าทางระเบียงห้องของเธอ มันล็อคอยู่ ผมจึงทุบกระจก สอดมือเข้าไปเปิดมันออกจากด้านใน

เธอรีบวิ่งออกมาจากห้องนอน แต่ผมก็เข้ามาได้แล้ว ผมฉวยเธอเอาไว้ได้ก่อน (มันอาจจะไม่ค่อยนุ่มนวลแบบที่ผมอยากจะให้เป็นนัก) และผลักเธอลงบนเตียง

“แกเป็นใคร” เธอร้องฟูมฟาย, น้ำตาทะลักจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางของเธอเปรอะไปหมด “ฉันไปรู้จักแกที่ไหน แกต้องการอะไรจากฉัน”

“คุณทำกับผมแบบนี้ไม่ได้นะ” ผมตะโกนใส่ “ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่หลังจากที่เรามีความหมายต่อกันและกัน”

“โอว…พระเจ้าช่วย” เธอร้อง ดวงตาเธอเบิกกว้าง และตื่นตกใจ “แกคือผู้หญิงท่าทางแปลกๆ ที่ร้านหนังสือนั่น”

ผมล้วงเอามีดพกออกจากกระเป๋ากางเกง

“อีชั่ว” ผมร้อง พร้อมกับจ้วงมีดเข้าที่ท้องน้อยของเธอ

เลือดพุ่งออกมา เธองอตัวด้วยความเจ็บปวด

“อีหอย” ผมด่าด้วยความโมโห และแทงเธอเข้าให้ที่คอหอย

เธอพยายามที่จะหวีดร้อง แต่สิ่งที่ออกมามีแต่เสียงโครกคราก

“ผมรักคุณนะ” ผมครวญ พลางจ้วงมีดเข้าใส่เธออีกครั้ง และอีกครั้ง “เราน่าจะมีความสุขด้วยกัน ทำไม ทำไมคุณถึงทำลายมัน ทำไมพวกคุณทุกคนถึงทำลายมัน”

เธอไม่พูดอะไรอีก แน่ล่ะ เธอไม่อาจพูดอะไรได้อีกแล้ว ก่อนที่ผมจะมานั่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยรักนี่ ร่างนี้ต้องถูกกำจัด ผมออกจากอพาร์ตเมนท์ของเธอ กลับมายังห้องของผมเอง ค้นหาถุงขยะสีดำใบโตๆ และเทปกาว แล้วจึงขับเจ้าเต่าทอง (โวคสวาเก้น, ห้าแสนสี่หมื่นบาท ยังคงใหม่และเยี่ยมยอด) เข้าไปในซอยด้านหลังอพาร์ตเมนต์ของเธอ

แล้วผมจึงขึ้นไป เอาถุงหนึ่งคลุมศีรษะเธอและตัวเธอไว้ อีกถุงหนึ่งคลุมจากทางขาขึ้นมา แล้วใช้เทปปิดมันเข้าด้วยกัน แบกเธอลงมาใส่ท้ายรถ

ผมขับตรงไปยังที่ทิ้งขยะเทศบาล และยัดเธอไว้ใต้กองขยะที่โตที่สุด

ครั้งแรกผมก็หวั่นใจเหมือนกัน แต่คนทั่วๆ ไปไม่ค่อยมีใครมาคุ้ยขยะกันหรอก แล้วรถตักขยะก็จะใช้มือกลอันใหญ่โตของมันตักขยะเป็นก้อนใหญ่ ยกขึ้นแล้วก็ยัดเข้าเตาเผา จากที่พวกเขาไม่เคยเจอ พิมมาดา เจนสุดา รึแม้แต่ มาริสา พวกเขาก็คงไม่เจอ พอลล่า เช่นเดียวกัน พวกผู้หญิงโสมม ไร้ความรู้สึก และเห็นแก่ตัวพวกนี้ ก็จะถูก บดบี้ เผา และไม่มีใครที่จะรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ (ถ้าเพียงแต่พวกเธอใส่ใจกับความรักของผู้อื่นสักนิด)

แล้วถ้าหากตำรวจมาสอบสวนผมน่ะเหรอ (แน่นอน ยังไม่เคยเจอสักครั้ง) ผมก็คงจะรู้สึกตกใจ แล้วก็ตอบไปว่า ใช่, ผมเคยเห็นเธอบ้าง ถ้าจะให้ผมบอกนะ เธอดูจะเป็นคนที่ดูเย็นชา ออกจะเห็นแก่ตัวนิดๆ

คนรักเหรอ?

ผมจะยิ้ม พลางส่ายศีรษะ แล้วตอบกลับไป ว่าไม่หรอก ไม่ใช่ เธอไม่ใช่เป็นคนแบบนั้น

นอกจากนั้น เพื่อนบ้านหญิงวัยย่างกลางคน จะไปรู้อะไรกับเธอมากนักเล่า

    * * * *

วันพุธ, 6 ตุลาคม

ผมคิดว่าผมคงตกหลุมรักเข้าให้แล้วล่ะ

เธอชื่อ อารยา ท่าทางเธอดูจะอ่อนไหวกว่า พอลล่า ซะอีก นวนิยายโรแมนซ์งั้นเหรอ ไม่หรอก เธอมักจะมาตอนบ่ายสองเป็นประจำ เธอจะตรงเข้าไปยังแถวหนังสือกลอนเลยล่ะ เธอออกจะสุภาพ และบริสุทธิ์ ขาของเธอช่างเรียวยาว สวยที่สุดที่ผมเคยเห็นมาเชียวล่ะ (พนันได้เลยว่าเธอคงไม่มีแม้แต่รอยไฝฟ้าแบบที่ พอลล่ามี)

หน้าอกของเธอช่างตูมและเต่งตึงดีแท้ ผมฝันถึงเธอตลอดสี่คืนติดกันเลย ผมคิดว่าผมแทบคลั่งเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ เราแทบจะใกล้ชิดกันในร้าน เกือบทั้งวันที่ผมเฝ้ารออยู่ริมถนน หวังว่าเธอจะผ่านมามองเห็นหน้าร้านที่เราจัดใหม่เป็นพิเศษ เราคงจะไม่อาจห่างกันเช่นนี้ได้อีกนานนัก มันไม่ยุติธรรมเลย

ผมเพียงแต่หวังว่าเธอคงจะมีบัตรเครดิตสักใบ