ปรัศวภาควิโลม

กฎ 3 ข้อของหุ่นยนต์ศาสตร์มีไว้ว่า

  1. หุ่นยนต์ ไม่ทำอันตรายมนุษย์ หรือกระทำการใดๆ ซึ่งยังผลให้มนุษย์ได้รับอันตราย

  2. หุ่นยนต์ต้องเชื่อฟังคำสั่งของมนุษย์ ยกเว้นคำสั่งนั้นจะขัดกับกฎข้อ 1

  3. หุ่นยนต์ต้องป้องกันร่างกายของตนเองให้คงอยู่ตราบเท่าการป้องกันนั้นไม่ขัดกับกฎข้อ 1 หรือข้อ 2

ลิเจ บาเลย์ เพิ่งตัดสินใจจะจุดไฟกล้องยาสูบขึ้นใหม่ พอดีประตูสำนักงานของเขาเปิดออกโดยไม่มีเสียงเคาะประตูหรือร้องบอกตามมารยาทก่อนเลยบาเลย์หันไปมองอย่างรำคาญ และแล้วก็ต้องทิ้งกล้องยาสูบลง ความคิดของเขาคงจะสวดเขาแย่ เพราะเขาปล่อยให้มันตกลงมานอนแอ้งแม้ง

“หุ่น ดานีล โอลิวาฟ” เขาพูดด้วยความตื่นเต้นสงสัย “ให้ตายซี นี่แกจริงๆ หรือ”

“คุณพูดถูกทีเดียว” หุ่นร่างสูงสีบลอนด์ที่เพิ่งก้าวเข้ามาพูดลักษณะที่สม่ำเสมอและเยือกเย็นของเขาไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย “ผมเสียใจที่ทำให้คุณแปลกใจโดยไม่ได้เตือนก่อนล่วงหน้า แต่ในสถานการณ์อันละเอียดอ่อนเช่นนี้ต้องมีคนและหุ่นมาเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด ผมดีใจมากที่พบคุณอีกครั้งหนึ่ง สหายเอลิจาห์”

แล้วหุ่นตัวนั้นก็ยื่นมือออกมาด้วยท่าทางที่เหมือนมนุษย์ แต่บาเลย์กลับจ้องมองดูมือที่ยื่นออกมาด้วยความงงงวย และไม่เข้าใจเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ แล้วเขาก็จับมือหุ่นด้วยมือทั้งสองข้าง “ดานีลทำไมต้องเกรงใจถึงอย่างนี้ แกมาได้ตลอดเวลาทีเดียวแต่อะไรนะที่แกว่าสถานการณ์อันละเอียดอ่อน พวกเราอยู่ในความลำบากอีกหรือ ฉันหมายถึงบนโลกน่ะ”

“ไม่หรอกสหาย เอลิจาห์ มันไม่เกี่ยวกับโลกเลย สถานการณ์ ซึ่งผมอ้างว่ามันละเอียดอ่อนนั้นดูอย่างผิวเผิน มันก็เป็นเรื่องเล็ก เป็นข้อพิพาทระหว่างนักคณิตศาสตร์ 2 คนเท่านั้นเอง และเนื่องจากเราเผอิญมาอยู่ใกล้โลกพอดีจึง…”

“ข้อพิพาทเกิดขึ้นบนยานอวกาศละซิ”

“แน่นอนทีเดียว ข้อพิพาทเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นมนุษย์คงจะยุ่งกับมันมากอย่างน่าประหลาดใจทีเดียว บาเลย์อดยิ้มไม่ได้ “ไม่แปลกใจเลยที่แกว่ามนุษย์น่าประหลาด พวกเขาไม่ทำตามกฎทั้งสามข้อนี่”

“นั่นเป็นข้อบกพร่อง” หุ่นดานีลพูดอย่างจริงจัง “และผมคิดว่ามนุษย์ก็รู้สึกงุนงงกับมนุษย์ด้วยกัน อาจเป็นไปได้ว่าพวกคุณรู้สึกมึนงงน้อยกว่าคนในโลกอื่นๆ เพราะว่ามีมนุษย์อยู่บนโลกนี้มากกว่าในโลกอวกาศ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผมคิดว่าคุณคงช่วยเราได้ ดานีลหยุดไปชั่วครู่แล้วก็พูดต่ออย่างรวดเร็ว “และยังมีพฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งผมได้เรียนรู้ ยกตัวอย่างเช่นอาจจะดูเหมือนว่าผมขาดมารยาท เมื่อเทียบกับมาตรฐานของมนุษย์ ที่ผมไม่ได้ถามถึงภรรยาและลูกๆ ของคุณ”

“พวกเขากำลังไปได้สวยทีเดียว ลูกชายอยู่ที่วิทยาลัยและเจลี่กำลังยุ่งกับการเมือง พวกเขาสบายดี เอาละทีนี้บอกมาซิว่าแกมาที่นี่ได้อย่างไร”

“ผมบอกแล้วว่าเราอยู่ในระยะที่มายังโลกได้ง่าย” หุ่นดานีลพูด “ดังนั้นผมจึงแนะนำกัปตันว่าเราควรจะปรึกษากับคุณ”

“และกัปตันตกลง?” บาเลย์นึกถึงภาพของกัปตันที่มีความภาคภูมิใจและมีอำนาจเด็ดขาดบนยานอวกาศ ยินยอมที่จะนำยานร่อนลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อปรึกษากับมนุษย์ของมนุษยชาติ

“ผมเชื่อว่า” หุ่นดานีลพูด “เขาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องยอมตกลงทุกสิ่งทุกอย่าง อีกประการหนึ่ง ขอพูดตามตรงว่า ผมยกย่องคุณอย่างมาก ในที่สุดผมตกลงใจที่จะมาเจรจาเพื่อว่าลูกเรือ, ผู้โดยสารจะได้ไม่ต้องเข้ามายังนครของมนุษย์”

“และพูดคุยกับชาวมนุษย์โลก แต่อะไรเกิดขึ้นล่ะ?”

“ผู้โดยสารของยานเอตา คารินา มีนักคณิตศาสตร์ 2 คนรวมอยู่ด้วย เขากำลังจะไปออโรรา เพื่อเข้าร่วมการประชุมของภาคพื้นดวงดาวเกี่ยวกับ Neurobiophysics เรื่องพิพาทก็เกิดจากนักคณิตสาสตร์ 2 คนนั้น เขาชื่อ อัลเฟรด บาร์ ฮัมโบลต์ และ เจนนาโอ ซับบัด คุณคงเคยได้ยินชื่อของเขาคนใดคนหนึ่ง หรือทั้ง 2 คนมาแล้ว”

robots-of-dawn-isaac-asimov

“ไม่รู้จักสักคน” บาเลย์พูดอย่างหนักแน่น “ฉันไม่มีความรู้ทางคณิตศาสตร์เลย ดานีล แกไม่ได้บอกใครนะว่าฉันเป็นไอ้งั่งทางคณิตศาสตร์หรือว่า…”

“ไม่เลยสหายเอลิจาห์ ผมรู้ว่าคุณไม่เป็นเช่นนั้น และมันก็ไม่สำคัญเลย เพราะธรรมชาติแท้จริงของคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องก็เปิดเผยข้อโต้แย้งไม่ได้”

“เอาละ ต่อไปซิ”

“เนื่องจากคุณไม่รู้จักคนทั้งสอง สหายเอลิจาห์ ผมขอเล่าให้คุณฟังว่า ดร.ฮัมโบลต์ ยังแข็งแรงอยู่แม้ว่ามีอายุ 270 ปี แล้ว ขอโทษเถอะสหายเอลิจาห์ คุณพูดว่าอะไรนะ?”

“ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไร” บาเลย์พูดอย่างรำคาญ เมื่อกี้นี้เขาพึมพำกับตัวเอง เป็นปฏิกิริยาตามธรรมดาต่ออายุอันยืนยาวของชาวอวกาศ “และเดี๋ยวนี้เขายังกระฉับกระเฉงความคิดว่องไวอยู่หรือ บนโลกนี้ถ้านักคณิตศาสตร์อายุ 30 ปีหรือกว่านั้นมักจะ…”

ดานีลพูดอย่างสงบเสงี่ยม “ดร.ฮัมโบลต์ เป็นหนึ่งของสามนักคณิตศาสตร์สุดยอดที่มีคนกล่าวถึงมานานแล้วในกาแลกซี เขายังว่องไวอยู่อย่างเดิม ดร. ซับบัตนั้นตรงข้ามทีเทียว เขายังหนุ่มอยู่อายุยังไม่ถึง 50 ปี แต่ก็ได้แสดงออกให้รู้ว่าเป็นบุคคลผู้สามารถคนใหม่ในสาขาที่ลึกซึ้งของคณิตศาสตร์”

“ยิ่งใหญ่ทั้งคู่นะซิ” บาเลย์พูด เขานึกถึงกล้องยาสูบขึ้นมาได้และหยิบมันขึ้นมา เขาตัดสินใจว่าคงจะไม่จุดยาสูบเดี๋ยวนี้ จึงเคาะยาสูบที่เหลือทิ้ง แล้วอะไรเกิดขึ้น เป็นกรณีฆาตกรรม หรือมีคนใดคนหนึ่งไหมที่ฆ่าอีกคนหนึ่งอย่างชัดแจ้ง”

“เกี่ยวกับข้อโต้แย้งนะ มีคนหนึ่งพยายามทำลายชื่อเสียงของอีกคนหนึ่ง ในทางค่านิยมของมนุษย์ ผมเชื่อว่าการกระทำอย่างนี้ยิ่งกว่าฆาตกรรมเสียอีก”

“บางทีผมก็คิดว่ามันเป็นอย่างนั้น ใครกันล่ะที่พยายามจะทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง?”

“เอ้อ สหายเอลิจาห์ นี่แหละเป็นประเด็นของปัญหา คนไหนที่กระทำกันแน่?”

“ต่อไปซิ”

“ดร.ฮันโบลต์ เล่าเรื่องอย่างชัดแจ้งว่า ก่อนเขาจะขึ้นยานอวกาศเขาได้ความคิดเกี่ยวกับวิธีที่จะวิเคราะห์ทางเดินของเส้นประสาทโดยหาจากการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไมโครเวฟที่ถูกดูดตามสมองส่วนคอร์เท็กบริเวณต่างๆ และความคิดที่ทะลุ ปรุโปร่งนี้ เป็นเรื่องเทคนิคทางคณิตศาสตร์ซึ่งลึกซึ้งเป็นพิเศษ แน่นอน ผมไม่เข้าใจมันได้ หรือแม้แต่จำข้อปลีกย่อยมาอธิบายให้ฟังได้ แต่นี่ไม่สำคัญหรอก ดร.ฮัมโบลต์คิดเรื่องนี้และแน่ใจมากขึ้นทุกชั่วโมงว่าเขาได้พบสิ่งที่จะปฏิวัติวิชาการ มันเป็นสิ่งซึ่งจะทำให้ความสำเร็จทางคณิตศาสตร์สมัยก่อนของเขาด้อยไปหมด ตอนนั้นเองเขาพบว่า ดร. ซับบัตอยู่บนยานด้วย”

“อา… และเขาก็บอกเรื่องนี้กับ ซับบัต”

“ถูกเผงทีเดียว ทั้งคู่เคยพบกันที่การประชุมของศาสตราจารย์และรู้ชื่อเสียงของแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง ฮัมโบลต์ได้คุยกับซับบัตอย่างละเอียดทีเดียว ซับบัตสนับสนุนข้อวิเคราะห์ของฮัมโบลต์ และยังยกย่องให้ความสำคัญของการค้นพบครั้งนี้ รวมทั้งความเป็นอัจฉริยะของผู้ค้นพบด้วย เมื่อฮัมโบลต์ได้รับคำยกย่องและรับรองการสนับสนุนเช่นนั้น เขาก็เตรียมร่างเรื่องราวสรุปงานที่เขาคิดขึ้นมาได้ 2 วันต่อมาก็เตรียมยื่นกับผู้ประสานงานของประธานในการประชุมที่ออโรรา เพื่อว่าเขาจะได้บุริมสิทธิ์ของเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ และสามารถจัดการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนที่วาระการประชุมจะสิ้นสุดลง แต่เขาประหลาดใจมากที่พบว่า ซับบัตก็มีเรื่องของตนเองเหมือนกับของฮัมโบลต์เปี๊ยบทีเดียว และซับบัตก็เตรียมยื่นต่อการประชุมที่ออโรราพร้อมกัน”

“ฉันคิดว่า ฮัมโบลต์คงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทีเดียว”

“แน่ทีเดียว”

“และซับบัตละ เขาเล่าเรื่องอย่างไร”

“เหมือนกับเรื่องของฮัมโบลต์ คำต่อคำ”

“อ้าว แล้วมีปัญหาอะไรเล่า”

“เว้นแต่ว่าชื่อในเรื่องกลับกัน เหมือนภาพในกระจกเงา ตามคำบอกเล่าของซับบัต เขาเป็นผู้คิดเรื่องขึ้นและได้ปรึกษากับฮัมโบลต์ ฮัมโบลต์ก็เห็นด้วยกับการวิเคราะห์และยกย่องเขาด้วย”

“ก็เป็นอันว่าแต่ละคนอ้างว่าความคิดเป็นของเขา และอีกคนหนึ่งขโมยความคิดนั้นไป สำหรับฉันดูเหมือนไม่เป็นปัญหาเลยในเรื่องทางวิชาการ เราเพียงแต่ตรวจดูจากบันทึกของการค้นคว้าที่พิมพ์วันที่และชื่อไว้ว่าทำเมื่อไร การตัดสินเรื่องบุริมสิทธิ์ก็ได้จากสิ่งพิมพ์นั้นๆ แม้ว่าคนนั้นจะได้รับการพิสูจน์ว่าผิด ก็ต้องเกิดจากความขัดแย้งจากนานาชาติ”

“ตามธรรมดาคุณอาจจะพูดถูก สหายเอลิจาห์ แต่นี่เป็นเรื่องของคณิตศาสตร์ และไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่ทดลองกันใหม่ได้ ดร.ฮัมโบลต์กล่าวว่าเขาคิดรายละเอียดต่างๆ ในหัวของเขา   ดร.ซับบัตก็พูดเหมือนกันเลย

“เอ้อ งั้นก็ทำอะไรให้มันรุนแรงขึ้น คงจะแก้ปัญหาไปได้อย่างแน่นอน ลองเอาแต่ละคนไปตรวจทางจิตวิทยาดูก็รู้ว่าใครพูดโกหก”

หุ่นดานีล สั่นหัวอย่างช้าๆ “สหายเอลิจาห์ คุณยังไม่เข้าใจคนพวกนี้ เขาเป็นนักวิชาการซึ่งมีฐานะสูงส่ง เป็นสมาชิกของบัณฑิตยสภาแห่งราชอาณาจักร เขาไม่ยอมให้สอบสวนเว้นแต่โดยลูกขุนซึ่งมีศักดิ์เสมอกับเขา และมีอาชีพเดียวกัน หรือไม่งั้นใครคนใดคนหนึ่งจะเต็มใจยอมสละสิทธิ์ว่าไม่ต้องสอบสวนก็โดยลูกขุนพวกนั้น”

“งั้นจัดการอย่างนั้นดีกว่า คนผิดจะไม่ยอมสละสิทธิ์ เพราะเขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับการตรวจทางจิตวิทยาได้ คนที่บริสุทธิ์จะสละสิทธิ์ทันที คุณไม่ต้องตรวจจับเท็จเสียอีก”

“เรื่องมันไม่เป็นอย่างนั้น สหายเอลิจาห์ การที่สละสิทธิ์เป็นเรื่องสำคัญ และบางทีก็อาจเป็นการทำลายชื่อเสียงอย่างเอากลับคืนไม่ได้ทีเดียว ทั้งคู่ยืนกรานปฏิเสธที่จะสละสิทธิ์การสอบสวนเพราะเรื่องเกียรติยศ ปัญหาเรื่องความผิด หรือความบริสุทธิ์จึงเป็นเพียงสิ่งประกอบเท่านั้น”

“ในกรณีเช่นนั้น ก็ปล่อยมันไปตามเดิม เก็บเรื่องเงียบไว้จนกระทั่งพวกท่านไปถึงออโรรา ที่การประชุม Neurobiophysics คงจะมีนักคณิตศาสตร์ที่มีศักดิ์ศรีเท่ากับทั้ง 2 คนเป็นจำนวนมาก แล้วก็จะ….”

“นั่นหมายถึงมรสุมต่อศาสตร์แขนงนี้ทีเดียว ทั้งคู่คงจะได้รับความทรมานจากการเป็นเครื่องมือของเรื่องที่น่าอาย แม้คนบริสุทธิ์ก็จะถูกกล่าวโทษว่าร่วมอยู่ในสถานการณ์ที่ขื่นขมเช่นนั้น พวกเขาคงคิดว่าเรื่องนี้ควรยุติอย่างเงียบๆ โดยไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแต่ประการใด”

“เอาละ ผมไม่ใช่ชาวอวกาศ แต่ก็พยายามจะนึกว่าทัศนคติอย่างนี้มีเหตุผลดี คนที่ก่อเรื่องว่าอย่างไรเล่า?”

“ฮัมโบลต์ยินยอมโดยตลอด เขาว่าถ้าซับบัตยอมรับว่าเป็นคนขโมยความคิด และยอมให้ฮัมโบลต์ส่งต้นร่างของเรื่องเข้าที่ประชุม เขาจะไม่ฟ้องเป็นอันขาด การกระทำผิดของซับบัตนั้นเขาจะเก็บเป็นความลับ และมีกัปตันอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ตอนโต้เถียงอีกเท่านั้นที่รู้เรื่อง”

“แต่ซับบัต ไม่ตกลงหรือ?”

“ตรงกันข้าม เขาตกลงกับ ดร.ฮัมโบลต์ เหมือนกันในรายละเอียดทุกเรื่อง โดยมีชื่อกลับที่กัน มันยังเหมือนภาพในกระจกเงาอย่างเดิม”

“แล้วเขาก็เพียงแต่นั่งอยู่ที่นั่นเพราะอับจนปัญหาละหรือ”

“สหายเอลิจาห์ ผมคิดว่าแต่ละคนกำลังรอให้อีกคนหนึ่งยอมแพ้และรับว่าตนผิด”

“อ้าว งั้นก็คอยไปซี”

“กัปตันตัดสินใจว่าไม่ควรทำเช่นนั้น คุณคงเห็นว่ามี 2 ทางที่เรากำลังรอคอยอยู่ ทางแรกทั้งคู่ยังดื้อดึง และเมื่อยานอวกาศไปถึงออโรรา ความอัปยศก็จะเกิดขึ้น กัปตันผู้ซึ่งรับผิดชอบต่อการตัดสินความบนยานอวกาศก็จะได้รับความขายหน้า เพราไม่สามารถจัดการกับเรื่องให้เงียบได้ และกัปตันคิดว่าสำหรับเขามันเป็นเรื่องของการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”

“และอีกทางหนึ่งละ”

ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งจะยอมรับความผิดครั้งนี้ แต่คนที่สารภาพจะกระทำเพราะความผิดจริงๆ หรือเขาทำเพียงเพื่อป้องกันเรื่องอื้อฉาว มันถูกต้องหรือที่จะทำให้คนหนึ่งไม่ได้รับเกียรติเพราะตามจรรยาแล้วเขาเสียเกียรติอันนี้ดีกว่าที่จะเห็นศาสตร์มีชื่อเสียงเสียไป หรืออีกอย่างหนึ่ง จะมีการรับผิดตอนนาทีสุดท้าย และเป็นในทำนองว่าเขากระทำเพื่อประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ ดังนั้นเขาก็จะหนีความอดสูของการกระทำของเขาได้และโยนเงามืดอันนั้นไปยังสิ่งอื่นแทน กัปตันจะเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่เขาไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่โดยสงสัยว่า เขาได้มีส่วนร่วมในความอยุติธรรมซึ่งพิลึกกึกกือนี้หรือไม่”

บาเลย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เป็นเรื่องของหนูน้อยที่แสนฉลาด ใครจะเป็นคนโพล่งออกมาเมื่อเข้าใกล้ออโรราเข้าทุกทีๆ ตอนนี้มีปัญหาอย่างนี้อยู่ใช่ไหม”

“ก็ไม่เชิง มีพยานรู้เห็นในเรื่องนี้”

“แล้วทำไมไม่บอกเสียแต่แรก พยานอะไรกันหือ”

“คนใช้ของ ดร.ฮัมโบลต์…”

“หุ่นละซี”

“ใช่ แน่นอนทีเดียว เขาชื่อว่าหุ่นเพรสตัน คนรับใช้คือหุ่นเพรสตันอยู่ตั้งแต่เริ่มการสนทนาและก็สนับสนุน ดร.ฮัมโบลต์ในทุกเรื่อง”

“คุณหมายถึงเรื่องเริ่มที่ความคิดเป็นของ ดร.ฮัมโบลต์แล้ว ดร.ฮัมโบลต์ เล่ารายละเอียดกับ ดร.ซับบัต แล้ว ดร.ซับบัตยกย่องความคิด และอื่นๆ อีกใช่ไหม”

“ใช่ มีรายละเอียดครบถ้วน”

“อ้อ แล้วเรื่องยุติหรือไม่ อาจจะไม่?”

“ถูกต้องทีเดียว เรื่องไม่จบสิ้น เพราะมีพยานคนที่สอง ดร.ซับบัตก็มีคนรับใช้ส่วนตัวชื่อหุ่น อิดดา อีกตัวหนึ่ง ซึ่งเผอิญเป็นแบบเดียวกับหุ่นเพรสตัน ผมเชื่อว่าทำในปีเดียวกัน ด้วยโรงงานเดียวกัน และทั้งคู่ทำงานมาเป็นเวลาเท่ากัน”

“เป็นเรื่องเผอิญอย่างประหลาด-ประหลาดที่สุด”

“มันเป็นเรื่องจริง และคงจะยากลำบากที่จะตัดสินใจอะไรลงไปโดยอาศัยข้อแตกต่างของหุ่นรับใช้ทั้งสอง”

“หุ่นอิดดาก็เล่าเรื่องเหมือนกับหุ่นเพรสตันหรือ”

“เหมือนกันเปี๊ยบทีเดียว เว้นแต่ชื่อต่างๆ กลับกันเหมือนภาพในกระจกเงา”

“หุ่นอิดดากล่าวว่า เจ้าหนุ่มซับบัต ซึ่งอายุไม่ถึง 50” ลิเจ บาเลย์ไม่ได้เอาคำเยาะเย้ยของเขาออกเสียทั้งหมด เขาเองก็อายุไม่ถึง 50 และเขารู้สึกไกลจากความเป็นหนุ่มมาก “มีความคิดเริ่มต้น และว่าเขาเล่ารายละเอียดให้ ดร.ฮัมโบลต์ ผู้ซึ่งยกย่องด้วยเสียงอันดัง และอื่นๆ อีกมาก”

“ใช่แล้วสหายเอลิจาห์”

“งั้นหุ่นตัวหนึ่งก็โกหกละซิ”

“มันก็เป็นอย่างนั้น”

“คงง่ายที่จะบอกว่าตัวไหนโกหก ฉันคิดเอาว่าเพียงแต่การตรวจของผู้เชี่ยวชาญทางหุ่นยนต์คงจะ…”

“นักหุ่นยนต์ก็ไม่เพียงพอสำหรับรายนี้ สหายเอลิจาห์ ต้องใช้หุ่นยนต์จิตแพทย์ที่มีความสามารถ จึงพอจะตัดสินในเรื่องที่สำคัญนี้ได้ แต่ไม่มีคนใดที่สามารถพอเลยบนยานอวกาศ การตรวจตราอย่างนั้นต้องทำได้ เมื่อเราไปถึงออโรราเท่านั้น…”

“และตอนนี้เรื่องราวก็รู้ถึงบรรดาแฟนๆ อ้อ ตอนนี้เราอยู่บนโลกมนุษย์ เราอาจจะทำให้จิตแพทย์ของหุ่นยนต์ตกใจบ้าง แต่เรื่องที่เกิดบนโลกจะไม่ล่วงรู้ไปถึงหูของออโรราอย่างแน่นอน และก็จะไม่มีเรื่องอื้อฉาว

“เว้นแต่ว่า ทั้ง ดร.ฮัมโบลต์ และ ดร. ซับบัต ไม่ยอมให้คนรับใช้ของเขารับการตรวจจากจิตแพทย์ของหุ่นยนต์จากโลกมนุษย์ มนุษย์ต้อง…” เขาหยุดพูดชั่วครู่

ลิเจ บาเลย์พูดอย่างใจเย็น “เขาต้องไปตรวจถึงตัวของหุ่นยนต์”

“พวกหุ่นรับใช้ที่เก่าแก่เหล่านั้น มีความคิดที่ …”

“และไม่ยอมให้มีมลทินจาการจับต้องของชาวโลกมนุษย์แล้วคุณต้องการให้ผมทำอะไร ให้ตายซีวะ” เขาหยุดพูด หน้าตาชักบูดบึ้ง

“ผมเสียใจ หุ่นดานีล แต่ผมไม่เห็นว่าคุณต้องมาเกี่ยวข้องกับผมอย่างไรเลย”

“ผมอยู่บนยานอวกาศเพื่อทำงานซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แม้แต่น้อย กัปตันโยนมาให้ผมเพราะว่าแกต้องโยนไปให้ใครคนหนึ่ง ผมมีความเป็นมนุษย์พอที่จะพูดด้วย และเป็นหุ่นพอที่จะปรับทุกข์ด้วยได้อย่างปลอดภัย เขาบอกเรื่องทั้งหมดกับผมและถามว่าผมจะทำอย่างไร ผมตระหนักดีว่า เราอาจจะมายังโลกได้ง่ายดายผมบอกกัปตันว่า แม้ว่าผมจะยอมแพ้ในการแก้ปัญหาเรื่องภาพในกระจกเงาเช่นเดียวกับเขา แต่ยังมีคนหนึ่งบนโลกที่อาจช่วยได้”

“ตายละซี” บาเลย์พึมพำในลำคอ

“ลองคิดดูซี สหายเอลิจาห์ ถ้าคุณแก้ปริศนานี้สำเร็จ ก็จะเป็นการดีสำหรับอาชีพคุณ และโลกเองก็อาจได้รับผลประโยชน์บ้าง แน่นอน เรื่องราวนี้ไม่สามารถจะเล่าสู่สาธารณชนได้ แต่กัปตันเป็นคนซึ่งมีอิทธิพลพอสมควรทีเดียวบนโลกของเขา และเขาคงนึกถึงบุญคุณของคุณนานเท่านาน”

“แกทำให้ฉันตึงเครียดอีกแล้ว”

“ผมมีความเชื่อมั่นว่า” หุ่นดานีลพูดอย่างเยือกเย็น “คุณมีความคิดอยู่บ้างแล้วว่าควรจะทำอะไรต่อไป”

“”แกว่าอย่างนั้นหรือ ฉันคิดว่าสิ่งที่ควรทำอย่างมากคือสัมภาษณ์นักคณิตศาสตร์ทั้งสอง คนหนึ่งคงจะดูเหมือนเป็นขโมย”

“สหาย เอลิจาห์ ผมคิดว่าทั้งคู่คงจะไม่มายังเมืองมนุษย์ และคงไม่มีใครที่ต้องการให้คุณไปพบ”

“และไม่มีทางที่จะบังคับให้ยานอวกาศยอมติดต่อกับมนุษย์ ไม่ว่าจะฉุกเฉินอย่างไรก็ตาม ใช่ ฉันเข้าใจเรื่องนั้นดานีล แต่ฉันกำลังนึกถึงการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์วงจรปิด”

“ทำอย่างงั้นก็ไม่ได้ เขาจะไม่ยอมให้มนุษย์ถามอะไรเลย”

“แล้วเขาต้องการอะไรจากฉันเล่า ฉันจะพูดกับหุ่นได้ไหม?”

“เขาไม่ยอมให้หุ่นมาที่นี่เหมือนกัน”

“ให้ตายซิดานีล แกก็มาที่นี่แล้ว”

“นั่นเป็นการตัดสินใจของผมเอง ผมได้รับอนุญาตตอนอยู่บนยานอวกาศ ให้ติดสินใจทำอะไรทำนองนี้ โดยไม่มีการคัดค้านจากมนุษย์คนใดนอกจากกัปตันเอง และกัปตันเองก็อยากที่จะติดต่อด้วย ผมรู้จักกับคุณจึงตัดสินใจว่าติดต่อทางโทรทัศน์นั้นคงไม่เพียงพอ ผมอยากจะจับมือกับคุณ”

ลิเจ บาเลย์ เสียงค่อยลงบ้าง “ฉันรู้เรื่องนั้นดี ดานีล แต่จากใจจริง ฉันยังอยากให้แกละเว้นไม่คิดถึงฉันเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอาละอย่างน้อยฉันจะพูดคุยกับหุ่นทางโทรทัศน์ได้ไหม?”

“เรื่องอย่างนี้ผมคิดว่าคงจะจัดการให้ได้”

“อย่างน้อยก็นิดหน่อย ฉันหมายความว่า ฉันจะทำตัวเป็นหุ่นยนต์จิตแพทย์อย่างคร่าวๆ นะ”

“แต่คุณเป็นนักสืบสวน สหายเอลิจาห์ ไม่ใช่หุ่นยนต์จิตแพทย์”

“เอ้อ ช่างมันเถอะ ตอนนี้ก่อนที่ฉันจะพบกับหุ่น มาคิดอะไรกันสักหน่อย บอกฉันซิว่าเป็นไปได้ไหมว่าหุ่นทั้งคู่บอกความจริง บางทีคำสนทนาระหว่างนักคณิตศาสตร์ทั้งคู่จะมีความหมายเป็นสองนัย บางที่มันจะเป็นธรรมชาติ ว่าหุ่นแต่ละตัวเชื่อเจ้านายของมันอย่างบริสุทธิ์ใจว่าเป็นจ้าของความคิดนั้น หรือบางทีหุ่นตัวหนึ่งอาจจะได้ยินเพียงส่วนหนึ่งของการสนทนาโต้ตอบ และหุ่นอีกตัวหนึ่งก็ได้ยินอีกตอนหนึ่ง ซึ่งทำให้หุ่นแต่ละตัวคิดว่าเจ้านายของมันเป็นเจ้าของความคิด”

“เป็นไปไม่ได้ 100% สหายเอลิจาห์ หุ่นทั้งคู่เล่าเรื่องการสนทนาให้ฟังด้วยถ้อยทำนองเดียวกัน และการเล่าซ้ำสองหน ตามหลักแล้วก็ควรไม่ตรงกัน”

“งั้น หุ่นตัวหนึ่งต้องโกหกแน่ๆ”

“ใช่”

“ฉันจะดูสำเนาหลักฐานเรื่องราวจนถึงปัจจุบันที่มีกัปตันอยู่ในเหตุการณ์ด้วยได้ไหม ถ้าฉันต้องการ?”

“ผมคิดแล้วว่าคุณคงจะถามหา และผมมีหลายสำเนา”

“สวรรค์โปรดอีกครั้ง หุ่นได้รับการซักถามบ้างไหม มีรายงานการซักถามนี้ในสำเนาไหม”

“หุ่นทั้งคู่เพียงแต่เล่าเรื่องราวของตนซ้ำอีก การซักถามนั้นทำได้โดยหุ่นยนต์จิตแพทย์เท่านั้น”

“หรือโดยฉัน”

“คุณเป็นนักสืบ สหายเอลิจาห์ ไม่ใช่…”

“ตกลงหุ่นดานีล ฉันจะพยายามถามจิตวิทยาอย่างตรงไปตรงมาทีเดียว นักสืบไม่สามารถทำได้มากกว่านั้น เพราะไม่ใช่หุ่นยนต์จิตแพทย์ เรามาคิดกันต่อไปดีกว่า ตามธรรมดาหุ่นจะไม่โกหก แต่มันจะทำถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องรักษากฎ 3 ข้อไว้ เขาอาจจะโกหกเพื่อความอยู่รอดของเขาตามกฎข้อ 3 เขาสมควรจะโกหกมากขึ้น ตามคำสั่งที่มนุษย์ให้แก่เขาตามกฎข้อ 2 เขาสมควรที่จะโกหกมากที่สุด ถ้าสิ่งนั้นจำเป็นที่จะรักษาชีวิตของมนุษย์ หรือป้องกันอันตรายต่อมนุษย์ตามกฎข้อที่ 1”

“ใช่”

“และในกรณีนี้ หุ่นแต่ละตัวจะป้องกันชื่อเสียงทางอาชีพของเจ้านายของมัน และจะโกหกถ้าจำเป็น ตามสภาวะเช่นนี้ชื่อเสียงเกี่ยวกับอาชีพ ก็อาจเปรียบได้ใกล้เคียงกับชีวิตทีเดียว และอาจจะใกล้เคียงกับเรื่องเร่งร้อนตามกฎข้อที่ 1 จนโกหกได้”

“โดยการโกหกนั่นเอง หุ่นรับใช้แต่ละตัวก็จะทำลายชื่อเสียงทางอาชีพของเจ้านายของอีกตัวหนึ่ง สหายเอลิจาห์”

“มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่หุ่นแต่ละตัวอาจมีความคิดที่แจ่มแจ้งถึงค่าของชื่อเสียงแห่งเจ้านายตน และติดสินว่ามันยิ่งใหญ่กว่าของเจ้านายของคนอื่นๆ เขาคงคิดว่าถ้าเขาโกหกคงจะมีอันตรายน้อยกว่าเขาพูดจริง”

พอพูดจนจบ ลิเจ บาเลย์ ก็นิ่งเงียบสักครู่หนึ่ง แล้วเขาพูดว่า “ตกลง งั้นแกจัดให้ฉันพูดกับหุ่นตัวหนึ่งได้ไหม ฉันติดว่าเอาหุ่นอิดดาก่อน”

“หุ่นของ ดร. ซับบัตนะหรือ”

“ใช่” บาเลย์พูดด้วยเสียงชักแหบแห้ง “หุ่นของคนที่หนุ่มกว่าน่ะ”

“ขอเวลาผม 2-3 นาทีเท่านั้น” หุ่นดานีลพูด “ผมมีเครื่องรับคลื่นสั้นประกอบกันเครื่องฉายภาพ ผมต้องการผนังว่างๆ สักแห่งหนึ่ง และผมคิดว่าตรงนี้คงใช้ได้ ถ้าคุณจะอนุญาตให้ผมเลื่อนตู้ใส่ฟิล์มพวกนี้”

“เอาเลย ฉันต้องการพูดกับไมโครโฟนอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอก คุณสามารถพูดได้ตามธรรมดา ขอโทษเถอะสหายเอลิจาห์ ที่ต้องช้าไปอีกเล็กน้อย ผมต้องติดต่อกับยานอวกาศและจัดให้หุ่นอิดดามารับการสัมภาษณ์”

ลิเจ บาเลย์จุดกล้องสูบขณะที่หุ่นดานีล จัดแจงเครื่องมือและเขาก็ดูแผ่นกระดาษบางๆ ที่ได้รับ

หลายนาทีผ่านไป หุ่นดานีลพูดว่า “ถ้าคุณพร้อมแล้ว สหายเอลิจาห์ หุ่นอิดดาก็พร้อมแล้วเช่นกัน หรือคุณอยากจะดูสำเนาอีก 2-3 นาที?”

“ไม่ละ” บาเลย์ถอนหายใจ “ฉันไม่รู้อะไรเพิ่มขึ้นกว่าเดินเลย ให้เขาปรากฏตัวได้ แล้วจดบันทึกคำสัมภาษณ์ และทำสำเนาไว้ให้ด้วย”

หุ่นอิดดา ปรากฏบนภาพที่ฉายไปบนผนังเป็นภาพ  2 มิติโครงสร้างเป็นโลหะ ไม่เหมือนกับหุ่นดานีลซึ่งคล้ายมนุษย์มาก ร่างกายของหุ่นอิดดาใหญ่เป็นท่อนๆ และแตกต่างไปจากหุ่นที่บาเลย์เคยเห็นเพียงรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น”

บาเลย์พูดว่า “สวัสดี หุ่นอิดดา”

“สวัสดีครับ” หุ่นอิดดาพูด จากปากที่ไม่ขมุบขมิบ แต่เสียงคล้ายมนุษย์อย่างน่าประหลาด

“เจ้าเป็นคนรับใช้ส่วนตัวของ เจจนนาโอ ซับบัต ใช่หรือไม่”

“ใช่ครับ”

“นานเท่าไหร่แล้ว ไอ้หนู”

“22 ปีแล้วครับ”

“และชื่อเสียงของเจ้านายเจ้า มีคุณค่าสำหรับเจ้าหรือ”

“ใช่ครับ”

“เจ้าคิดว่ามีความสำคัญที่จะป้องกันชื่อเสียงนั้นหรือ”

“ใช่ครับ”

“มีความสำคัญที่จะป้องกันชื่อเสียง เท่ากับชีวิตของเขาเชียวหรือ?”

“ไม่ครับ”

“มีความสำคัญที่จะปกป้องชื่อเสียงของเขาเท่ากับชื่อเสียงของผู้อื่นใช่ไหม” หุ่นอิดดาชักลังเล มันพูดว่า “กรณีเช่นนั้นต้องตัดสินตามความดีของแต่ละคนครับ ไม่มีทางที่จะต้องเป็นกฎทั่วไปได้”

บาเลย์ก็ชักลังเล หุ่นของยานอวกาศพูดได้ราบเรียบนุ่มนวลและฉลาดเฉลียวกว่าหุ่นที่ทำบนโลกมนุษย์ เขายังนึกไม่ออกว่ามีหุ่นตัวไหนที่ฉลาดเท่า”

เขาพูดว่า “ถ้าเจ้าตัดสินใจว่าชื่อเสียงของนายสำคัญกว่าของคนอื่น เช่น ของอัลเฟรต บาร์ ฮัมโบลต์ เจ้าจะโกหกเพื่อปกป้องชื่อเสียงของนายเจ้าหรือไม่?”

“ผมจะทำครับ”

“เจ้าโกหก ตอนที่ให้การเรื่องของเจ้านายที่โต้แย้งกับ ดร.ฮัมโบล์ ใช่ไหม?”

“ไม่ใช่ครับ”

“แต่ถ้าเจ้าโกหก เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่ได้โกหก เพื่อป้องกันคำเท็จนั้นใช่หรือไม่”

“ใช่ครับ”

“เอาละ” บาเลย์พูด “ลองคิดดูซิ เจ้านายของเจ้า เจนนาโอ ซับบัต เป็นชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงอย่างมากทางคณิตศาสตร์ แต่เขาอายุยังน้อยอยู่ ถ้าตอนที่โต้เถียงกับ ดร.ฮัมโบลต์ เขาตกอยู่ในอำนาจของสิ่งที่ยั่วยวนใจ และเขาก็กระทำการอย่างผิดจรรยา เขาคงจะได้รับความมัวหมองของชื่อเสียงบ้าง แต่เขายังหนุ่มอยู่ เขามีเวลาพอที่จะสร้างชื่อเสียงขึ้นอย่างเก่า เขาคงจะมีชัยชนะที่ปราดเปรื่องเหนือฮัมโบลต์ และในที่สุดคนอื่นก็จะมองการขโมยความคิดครั้งนี้ว่าเป็นเพียงความผิดพลาดของหนุ่มเลือดร้อนซึ่งขาดการตัดสินใจที่รอบคอบเท่านั้น นั่นเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต”

“ในทางตรงกันข้าม ถ้า ดร.ฮัมโบลต์ เป็นคนที่ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งยั่วยวนใจ เรื่องราวจะแย่กว่ามาก เขาเป็นคนสูงอายุซึ่งมีผลงานแพร่ไปทุกประเทศ ชื่อเสียงของเขายังไม่มีมลทินจนกระทั่งบัดนี้ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนั้นก็จะถูกลืมเพียงเพราะความผิดของเขาครั้งนี้ และเขาจะไม่มีโอกาสได้สร้างชื่อเสียงขึ้นอย่างเดิมแน่ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่อันค่อนข้างจะสั้น เขาคงจะทำอะไรได้สำเร็จอีกเล็กน้อยเท่านั้น ในกรณีของฮัมโบลต์งานที่เสียไปทำมานานกว่าของเจ้านายเจ้าหลายปีนัก และเขามีโอกาสน้อยที่จะกลับไปอยู่ฐานะอย่างเก่าได้ เจ้าเห็นหรือยังละว่า ฮัมโบลต์เผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่า และควรจะได้รับการพิจารณามากกว่า”

มีความเงียบเกิดขึ้นยาวนานทีเดียว แล้วหุ่นอิดดาก็พูดด้วยเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่า “หลักฐานของผมนั้นโกหกทั้งเพ ดร.ฮัมโบลต์ต่างหากซึ่งเป็นเจ้าของผลงานและเจ้านายของผมพยายามอย่างผิดๆ ที่จะได้ชื่อเสียงนั้นแทน”

บาเลย์พูด “ดีมาก ไอ้หนู เจ้าถูกสั่งสอนไม่ให้พูดอะไรกับใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากได้รับอนุญาตจากกัปตันของยาน แเจ้าได้รับการยกโทษให้แล้ว”

ภาพหายไปและบาเลย์พ่นควันจากกล้องยาสูบโขมง “แกคิดว่ากัปตันจะได้ยินเสียงนี้ไหมดานีล?”

“ผมแน่ใจว่าคงได้ยิน เขาเป็นผู้รู้เห็นอีกคนเดียวเท่านั้นนอกจากเราทั้งสอง”

“ดีแล้ว ตอนนี้เอาอีกตัวหนึ่งมาได้แล้ว”

“แต่เดี๋ยวก่อนสหายเอลิจาห์ ไม่มีความสำคัญอะไรเลยหรือเรื่องที่หุ่นอิดดาสารภาพ เมื่อตะกี้!”

“มันมีแน่ คือคำสารภาพของหุ่นอิดดาไม่มีความหมายอะไรเลย”

“ไม่มีอะไรเลยหรือ”

“ไม่มีอะไรเลย ฉันชี้ให้เห็นว่าสถานะของ ดร.ฮัมโบลต์นั้นเลวร้ายกว่า ตามธรรมชาติแล้วถ้าเขาโกหกเพื่อปกป้องซับบัต เขาก็จะเปลี่ยนไปพูดความจริงตามที่เขากระทำไปแล้ว ในทางตรงกันข้ามถ้าเขาพูดความจริงตอนนั้น เขาก็จะเปลี่ยนไปโกหกเพื่อปกป่องฮัมโบลต์แทน มันยังเป็นภาพในกระจกเงาเหมือนเดิม เราไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย”

“แล้วเราจะได้อะไรจากการถามหุ่นเพรสตัน”

“คงไม่ได้อะไรถ้าภาพในกระจกเงาสมบูรณ์ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น ในที่สุด หุ่นตัวหนึ่งจะเริ่มเล่าเรื่องจริง อีกตัวหนึ่งเริ่มด้วยเรื่องโกหก มันต้องมีจุดหนึ่งซึ่งไม่สมมาตรกัน ให้ผมพบกับหุ่นเพรสตันเถอะ และถ้าสำเนาการซักถามหุ่นอิดดาเสร็จแล้วขอให้ฉันดูด้วย”

เขาใช้เครื่องฉายภาพอีกครั้ง หุ่นเพรสตันปรากฏบนจอรูปร่างเหมือนหุ่นอิดดาทุกอย่างยกเว้นการออกแบบตรงอกเล็กน้อย

บาเลย์พูดว่า “สวัสดี หุ่นเพรสตัน” เขาถือบันทึกการสอบสวนหุ่นอิดดาไว้ข้างหน้าเขา ตอนที่เขาพูด

“สวัสดีครับ” หุ่นเพรสตันพูด เสียงของเขาเหมือนกับของหุ่นอิดดา

“เจ้าเป็นคนรับใช้ส่วนตัวของ อัลเฟรด บาร์ ฮัมโบลต์ ใช่หรือไม่”

“ใช่ครับ”

“นานเท่าไหร่แล้วไอ้หนู”

“22 ปี แล้วครับ”

“และชื่อเสียงของเจ้านายเจ้า มีคุณค่าสำหรับเจ้าหรือ”

“ใช่ครับ”

“เจ้าคิดว่ามีความสำคัญที่จะป้องกันชื่อเสียงนั้นหรือ”

“ใช่ครับ”

“มีความสำคัญที่จะปกป้องชื่อเสียงของเขาเท่ากับชื่อเสียงของผู้อื่นไหม”

หุ่นเพรสตันลังเลครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “กรณีเช่นนั้นต้องตัดสินตามความดีของแต่ละคนครับ ไม่มีทางที่จะต้องเป็นกฎทั่วไปได้”

บาเลย์พูดว่า “ถ้าเจ้าตัดสินใจว่าชื่อเสียงของนายเจ้าสำคัญกว่าของคนอื่น เช่นของ เจนนาโอ ซับบัต เจ้าจะโกหกเพื่อปกป้องชื่อเสียงของนายเจ้าหรือไม่”

“ผมจะทำครับ”

“เจ้าโกหก ตอนที่ให้การเรื่องของเจ้านายที่โต้แย้งกับ ดร.ซับบัต ใช่ไหม?”

“ไม่ใช่ครับ”

“แต่ถ้าเจ้าโกหก เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่ได้โกหก เพื่อป้องกันคำเท็จนั้นใช่หรือไม่”

“ใช่ครับ”

“เอาละ” บาเลย์พูด “ลองคิดดูซิ เจ้านายของเจ้า อัลเฟรด บาร์ ฮัมโบลต์ เป็นคนสูงอายุที่มีชื่อเสียงอย่างมากทางคณิตศาสตร์ เขามีอายุมากแล้ว ถ้าตอนที่โต้เถียงกับ ดร.ซับบัต เขาตกอยู่ในอำนาจของสิ่งยั่วยวนใจ และก็กระทำการอย่างผิดจรรยา เขาคงจะได้รับความมัวหมองของชื่อเสียงบ้าง แต่เขาสูงอายุแล้ว และความสำเร็จนับร้อยปีของเขาก็จะคัดค้านกับความผิด และลบล้างไปได้ คนอื่นจะมองถึงการขโมยความคิดครั้งนี้ว่าเป็นความผิดพลาดของคนแก่ซึ่งอาจจะไม่ค่อยสบายจึงตัดสินใจอะไรไม่ค่อยแน่นอนนัก”

ถ้าในทางตรงกันข้าม ถ้า ดร.ซับบัตเป็นคนที่ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งยั่วยวนใจ เรื่องราวจะแย่กว่านี้มาก เขาเป็นคนหนุ่ม ซึ่งมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยมั่นคง เขามีเวลาเป็นศตวรรษที่รอเขาอยู่เพื่อที่เขาจะสะสมความรู้และประสบความสำเร็จอีกมากมาย  เดื๋ยวนี้สิ่งนั้นถูกปิดกั้นเสียแล้วโดยความผิดครั้งหนึ่งของเขาตอนที่ยังหนุ่มอยู่ เขาเสียอนาคตอันยาวนานมากกว่าที่เจ้านายของเจ้าจะเสียไป เจ้าเห็นหรือยังละว่า ซับบัตเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่า และควรจะได้รับการพิจารณามากกว่า

ความเงียบเกิดขึ้นยาวนานอีกครั้ง แล้วหุ่นเพรสตันก็พูดด้วยเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่า “หลักฐานของผมนั้น โก…”

ถึงตอนนั้น เขาก็หยุดชะงัก และไม่พูดอะไรอีกเลย

บาเลย์พูดว่า “กรุณาเล่าต่อไป หุ่นเพรสตัน”

ไม่มีการตอบสนองออกมาเลย

หุ่นดานีลพูด “สหายเอลิจาห์ ผมกลัวว่าหุ่นเพรสตันจะหยุดอยู่นิ่งไม่ทำงานเสียแล้ว”

“งั้นก็” บาเลย์พูด “เราได้สร้างความไม่สมมาตรขึ้นแล้วจากนี้ เราสามารถรู้ว่าใครเป็นคนผิด”

“ในทางไหนล่ะสหายเอลิจาห์”

“ลองคิดดูซิ สมมุติว่าแกเป็นคนซึ่งไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย และหุ่นรับใช้ของแกเป็นพยานรู้เห็นอยู่ด้วย แกก็ไม่ต้องทำอะไร หุ่นของแกก็จะบอกความจริง และสนับสนุนแกให้พ้นข้อหาได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าแกเป็นคนทำความปิด แกก็ต้องสั่งหุ่นของแกโกหก ซึ่งการทำอย่างนั้นมันเสี่ยงกว่า เพราะแม้ว่าหุ่นจะพูดโกหก แต่ก็มีใจโอนเอียงที่จะบอกความจริง ดังนั้นการโกหกจึงไม่ค่อยมั่นคงเท่ากับพูดความจริง เพื่อที่จะป้องกันกรณีนั้นคนที่ทำความผิดก็ควรจะสั่งให้หุ่นโกหก โดยวิธีนี้ กฎข้อ 1 ก็จะถูกเสริมให้แข็งกร้าวด้วยกฎข้อ 2 ซึ่งบางทีก็แข็งแรงอยู่แล้ว”

“นั่นก็มีเหตุผลดีอยู่” หุ่นดานีลพูด

“สมมุติว่าเรามีหุ่นทั้ง 2 ชนิด หุ่นตัวหนึ่งจะเปลี่ยนจากความจริงซึ่งไม่ถูกบังคับเป็นความเท็จ และก่อนจะทำก็ต้องลังเลบ้าง แต่ไม่มีข้อยุ่งยากหนักหนาอะไร หุ่นอีกตัวหนึ่ง ซึ่งจะเปลี่ยนจากความเท็จ ซึ่งถูกบังคับอย่างเข้มแข็งไปเป็นความจริง แต่จะทำได้ต้องเสี่ยงกับการเผาไหม้ของวงจรโพสิตรอนในสมองของเขาแล้ว ตกอยู่ในภาวะชะงักงัน”

“และเนื่องจากหุ่นเพรสตันจู่ๆ ก็หยุดชะงัก”

“นายของหุ่นเพรสตัน ดร.ฮัมโบลต์ เป็นคนผิดฐานขโมยความคิด ถ้าแกส่งเรื่องให้กัปตัน และกระตุ้นเขาให้เผชิญหน้ากับ ดร.ฮัมโบลต์ เจรจาเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที ฮัมโบลต์อาจจะสารภาพออกมา ถ้าเรื่องเป็นดังนั้นฉันคิดว่าแกควรจะบอกฉันทันที”

“ผมจะทำอย่างนั้นแน่ๆ ผมต้องขอโทษคุณ สหายเอลิจาห์ ผมต้องพูดกับกัปตันเป็นการส่วนตัว”

ได้ซี ใช้ห้องประชุมนั่นก็ได้ มีฝามิดชิดดี”

บาเลย์ทำอะไรไม่ได้เลยตอนที่หุ่นดานีลไม่อยู่ เขานั่งเงียบอยู่ด้วยความไม่สบายใจ สิ่งต่างๆ มากมายขึ้นอยู่กับคุณค่าของการวิเคราะห์ของเขา และเขาก็รู้ตัวดีว่าเขาขาดความรอบรู้ทางหุ่นยนต์ศาสตร์

หุ่นดานีลกลับมาภายในครึ่งชั่วโมง เป็นครึ่งชั่วโมงที่เกือบนานที่สุดในชีวิตของบาเลย์

แน่นอนไม่มีประโยชน์อะไรที่พยายามจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น โดยมองจากสีหน้าคล้ายมนุษย์ที่เฉยเมย   บาเลย์พยายามที่จะตีสีหน้าปกติธรรมดา

“ใช่ไหมดานีล” เขาถาม

“จริงอย่างที่คุณพูด สหายเอลิจาห์ ดร.ฮัมโบลต์สารภาพ เขาบิกว่าเขากำลังนับวันเวลารอให้ ดร.ซับบัต เปิดโอกาสยอมให้เขาได้รับชัยชนะครั้งสุดท้าย วิกฤตการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว กัปตันสำนึกถึงบุญคุณของคุณมาก เขาอนุญาตให้ผมบอกคุณว่าเขายกย่องคุณมาก และผมเชื่อว่า ผมก็ได้รับความนิยมชมชอบที่แนะนำให้มาปรึกษาคุณ”

“ก็ดีแล้วนี่” บาเลย์พูด เข่าของเขาอ่อนเปลี้ยและหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา เพราะรู้ว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง “แต่ให้ตายซี หุ่นดานีล อย่าให้ฉันต้องอยู่ในภาวะเช่นนี้อีกเลยนะ”

“ผมจะไม่พยายามทำเช่นนี้ สหายเอลิจาห์ แน่นอนทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความสำคัญของวิกฤตการณ์ การที่คุณอยู่ใกล้และองค์ประกอบอื่นๆ อีก ตอนนี้ผมมีข้อสงสัยอยู่ว่า…”

“อะไรหรือ”

“เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าการเปลี่ยนจากความเท็จเป็นความจริงนั้นง่ายดาย แต่เปลี่ยนจากจริงเป็นเท็จนั้นยากกว่า และในกรณีนั้น หุ่นที่หยุดนิ่งคงจะเปลี่ยนจากจริงเป็นเท็จได้หรือไม่ และเนื่องจากหุ่นเพรสตันนิ่งเงียบ จะมีใครสรุปได้หรือไม่ว่า ดร.ฮัมโบลต์นั่นเองที่บริสุทธิ์ และ ดร.ซับบัตมีความผิด”

“ใช่ ดานีล อาจจะโต้แย้งอย่างนั้นก็ได้” แต่อีกประเด็นหนึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง ฮัมโบลต์สารภาพมิใช่หรือ”

“เขาสารภาพจริง แต่เมื่อมี 2 ประเด็นที่เป็นไปได้ทั้งคู่สหายเอลิจาห์ ทำไมคุณจึงเลือกประเด็นที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว”

ริมฝีปากของบาเลย์กระตุกชั่วครู่หนึ่ง แล้วเขาก็คลายริมฝีปากลง กลายเป็นยิ้มละไม  “เพราะว่าหุ่นดานีลเอ๋ย ฉันคำนึงถึงปฏิกิริยาของมนุษย์ไม่ใช่ของหุ่นยนต์ ฉันรู้เรื่องราวของมนุษย์มากกว่าหุ่นยนต์ จะพูดอีกอย่างหนึ่ง ฉันมีความคิดว่านักคณิตศาสตร์คนไหนผิดอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่จะสัมภาษณ์หุ่นทั้งคู่เสียอีก

พอฉันทำให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบที่ไม่สมมาตรขึ้นได้ ฉันก็แปลความหมายไปในทางที่ป้ายความผิดให้กับคนที่ฉันคิดไว้แล้วว่ามีความผิด ปฏิกิริยาตอบสนองของหุ่นมีอานุภาพพอที่จะทำให้คนกระทำผิดอยู่ไม่รอด อาศัยเพียงแต่การวิเคราะห์ของฉันเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์คงไม่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้นได้”

“ผมอยากรู้ว่าคุณวิเคราะห์พฤติกรรมของมนุษย์อย่างไร”

“ให้ตายซี หุ่นดานีล ลองคิดดูสักนิด แล้วจะได้ไม่ต้องถามฉัน มันมีจุดอื่นอีกที่ไม่สมมาตรในเรื่องของภาพในกระจกเงานอกจากปัญหาว่าอันใดถูกหรือผิด คือ ยังมีประเด็นที่เกี่ยวกับอายุของทั้งคู่ คนหนึ่งแก่มากอีกคนหนึ่งก็ยังหนุ่มแน่นมาก”

“ใช่แน่นอนทีเดียว แล้วไงละ”

“อ้าว ก็คือยังงี้ ฉันสามารถนึกภาพเห็นชายหนุ่มซึ่งปิติยินดีที่ได้ความคิดใหม่ๆ อันน่าทึ่งขึ้นในทันทีทันใด ได้ปรึกษาเรื่องนั้นกับชายสูงอายุผู้ซึ่งคิดว่าเรื่องนั้นไม่ได้ความตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน ฉันไม่เคยเห็นว่าคนแก่ซึ่งมียศศักดิ์สู.ส่ง และเคยได้รับแต่ชัยชนะจะได้ปรึกษากับชายหนุ่มอายุอ่อนกว่าเป็นศตวรรษ ที่เขาคิดว่าเป็นพวกกิ๊กก๊อกหรืออะไรทำนองนั้น แล้วแต่คำของชาวอวกาศจะใช้ว่าอะไร

และอีกประการหนึ่ง ถ้าชายหนุ่มมีโอกาสเขาจะพยายามขโมยความคิดของสมมุติเทพที่เขาเคารพเชียวหรือ ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม คนแก่ซึ่งนึกถึงว่าบารมีของตนกำลังน้อยลง คงจะรีบฉวยโอกาสสุดท้ายเพื่อชื่อเสียงและคิดว่าพวกเด็กๆ ไม่มีสิทธิ์ เขาได้แต่รอยเฝ้าดูเท่านั้น  พูดกันอย่างรวบรัดแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ว่า ฮัมโบลต์ปรึกษากับซับบัต หรือซับบัตขโมยความคิดของฮัมโบลต์ และตามทั้งสองแง่ ดร.ฮัมโบลต์เป็นผู้ผิดเต็มประตูทีเดียว”

หุ่นดานีลนั่งนึกอยู่เป็นเวลานาน แล้วเขาก็ยื่นมือออกมา “ผมเห็นจะต้องกลับเสียทีสหายเอลิจาห์ รู้สึกยินดีมากที่ได้พบคุณ เราคงได้พบกันอีก”

บาเลย์จับมือหุ่นอย่างอบอุ่น “ถ้าไม่นึกเป็นอย่างอื่นไปละก็ หุ่นดานีล” เขาพูด “ภายใน 2 -3 วันนี้ไม่ต้องมาอีกนะ” Ω

จากเรื่อง    “เมอร์เร่อร์ อิมเมจ”
ของ       ไอแซค อาซิมอฟ
แปลโดย       วิทิต บรรจง
คัดจากหนังสือ “อณู401”  ตีพิมพ์ในปี 2517
โดยกลุ่มวารสาร ฝ่ายวิชาการ สโมสรนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ใส่ความเห็น